วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551
FW: เทคนิค Windows ที่บางทีก็ลืม
เทคนิค Windows ที่บางทีก็ลืม
1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าส ุดแน่ๆ
4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\windows ของคุณ
5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ "con" ได้
14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ปัจจุบัน
21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare
1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าส ุดแน่ๆ
4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\windows ของคุณ
5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ "con" ได้
14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ปัจจุบัน
21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare
FW: ปวด...ป๊วด...ปวด สารพัดปวดหัวที่คุณต้องรู้
ปวด...ป๊วด...ปวด สารพัดปวดหัวที่คุณต้องรู้
เชื่อว่าสาวออฟฟิศที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพ์เป็นเวลานานๆ คงเคยเจอฤทธิ์เดชของอาการปวดหัวมาบ้างแล้ว บางรายคิดว่าอาการปวดหัวไม่อันตราย กินยาแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่คุณทราบหรือไม่ว่า อาการปวดหัวที่คุณเป็นอยู่อาจมีอาการของโรคอื่นซ่อนอยู่ด้วย
ปวดหัว...ที่ไม่ใช่แค่ปวดหัว
อาการปวดหัวที่เราพบได้ทั่วๆ ไปคือการปวดหัวจากความตึงเครียด การทำงานหนัก เพลีย โกรธ อาการคล้ายๆ ปวดที่ขมับ ท้ายทอย รู้สึกตึงๆ เหมือนมีอะไรรัดศีรษะ การรักษาอาจใช้ยาแก้ปวดหัวธรรมดา นอนพักผ่อน แต่ถ้าเป็นการอาการปวดหัวซึ่งมีอาการร่วมของโรคอื่นๆ รวมอยู่ด้วย เรามีวิธีสังเกตได้ต่อไปนี้
1. ปวดระยะสั้นๆ แต่รุนแรง อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง หรือเลือดออกในสมอง โดยเฉพาะถ้ามีอาการคอตึงแข็งหรืออาเจียน อาจเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
2. ปวดสม่ำเสมอและปวดนานๆ มักเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดจากความตึงเครียด หรือปวดหัวไมเกรน
ถ้าเป็นอาการปวดหัวที่ไม่รุนแรงหรือฉับพลัน เราสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยวิธีเหล่านี้
- ผ่อนคลายความตึงเครียดเหนื่อยล้า ด้วยการพยายามพักสายตา พักผ่อนร่างกายและจิตใจให้เพียงพอ
- เปลี่ยนอิริยาบถจากงานประจำที่เป็นอยู่ ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อพักสมอง เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ หรือฟังธรรม
- เปลี่ยนองค์ประกอบในบ้านหรือโต๊ะทำงาน เช่น จัดห้อง จัดโต๊ะทำงาน ให้รู้สึกโล่ง สบาย ไม่อุดอู้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการปวดหัว เพราะการออกกำลังการจะทำให้ระบบไหลเวียนของการร่างกายทำงานดีขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะ
- นวดประคบ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นนวดบริเวณขมับ ท้ายทอย และต้นคอ จะทำให้รู้สึกดีขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะ
- ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาควรใช้ยาพาราเซตามอล หรือแอสไพริน แล้วดื่มน้ำตามมากๆ แต่ไม่ควรกินบ่อยครั้ง หากมีอาการรุนแรงเกินกว่ายาจะบรรเทาได้ควรรีบไปพบแพทย์
วิธีแล้วลองปฏิบัติดูนะคะ อย่าปล่อยให้อาการปวดหัวสะสมจนลุกลามเป็นโรคเรื้อรังที่มาเบียดบังความสุขประจำวันของชีวิตคุณเลย
กินยาพาราฯ แค่ไหนไม่อันตราย
การกินยาพาราเซตามอลในปริมาณที่ถูกต้อง คือต้องกินในขนาด 10 มิลลิกรัม(มก.) ต่อน้ำหนัก ตัว 1 กิโลกรัม(กก.) ต่อครั้ง และกินห่างกันทุก 4-6 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าหากคุณมีน้ำหนักตัว 30 กก. ก็ควรกินยาพารา = 10 x 30 = 300 มก. หรือหากมีน้ำหนักตัว 60 กก. ควรกินยาพารา = 10 x 60 = 600 มก. เป็นต้น
ยาพาราที่วางขายนั้นมีอยู่ 2 ขนาด คือ 325 มก. และ 500 มก. แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแบบ 500 มก. มากกว่า ดังนั้นหากคุณมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กก. ก็ควรกินยาพาราขนาด 500 มก. จำนวน 1 เม็ด แต่หากว่าคุณน้ำหนักตัวมากกว่า 50 กก. ก็ควรกินยาพารา 2 เม็ด
แม้ว่ายาพาราจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หากกินอย่างถูกต้องในระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้าหากกินนานติดต่อเกิน 5 วัน ก็อาจมีผลเสียต่อตับได้ค่ะ
เชื่อว่าสาวออฟฟิศที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพ์เป็นเวลานานๆ คงเคยเจอฤทธิ์เดชของอาการปวดหัวมาบ้างแล้ว บางรายคิดว่าอาการปวดหัวไม่อันตราย กินยาแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่คุณทราบหรือไม่ว่า อาการปวดหัวที่คุณเป็นอยู่อาจมีอาการของโรคอื่นซ่อนอยู่ด้วย
ปวดหัว...ที่ไม่ใช่แค่ปวดหัว
อาการปวดหัวที่เราพบได้ทั่วๆ ไปคือการปวดหัวจากความตึงเครียด การทำงานหนัก เพลีย โกรธ อาการคล้ายๆ ปวดที่ขมับ ท้ายทอย รู้สึกตึงๆ เหมือนมีอะไรรัดศีรษะ การรักษาอาจใช้ยาแก้ปวดหัวธรรมดา นอนพักผ่อน แต่ถ้าเป็นการอาการปวดหัวซึ่งมีอาการร่วมของโรคอื่นๆ รวมอยู่ด้วย เรามีวิธีสังเกตได้ต่อไปนี้
1. ปวดระยะสั้นๆ แต่รุนแรง อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง หรือเลือดออกในสมอง โดยเฉพาะถ้ามีอาการคอตึงแข็งหรืออาเจียน อาจเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
2. ปวดสม่ำเสมอและปวดนานๆ มักเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดจากความตึงเครียด หรือปวดหัวไมเกรน
3. ปวดแปลบๆ เหมือนไฟช็อต บริเวณหน้า แก้ม โดยเฉพาะเวลาเคี้ยว อาจจะเป็นอาการของโรคปลายประสาทอักเสบ
4. ปวดหัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามัวพร่ามากขึ้น หรือเห็นภาพซ้อน ร่างกายอ่อนแรง ชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า และน้ำหนักลด กินอาหารไม่ได้ อาจเป็นโรคมะเร็งในสมอง
5. ปวดหัวตุบๆ ข้างเดียวหรือสองข้าง ก่อนปวดมีอาการเห็นแสงแปลกๆ คลื่นไส้ เป็นอาการปวดไมเกรน
6. ปวดแล้วมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหน้าผาก มีน้ำมูกไหล อาจจะเป็นการปวดจากไซนัส
7. ปวดฉับพลันที่ท้ายทอย และมีอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน และอ่อนแรงทันที อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองแตก
8. ปวดหัวและปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิท แขนขาอ่อนแรง เดินเซ หรือชาตัวครึ่งซีก อาจเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ
9. ปวดมากที่ขมับ หรือปวดเมื่อยทั้งตัว ในคนอายุมากอาจเป็นอาการของหลอดเลือดสมองอักเสบ ดูแลอาการปวดหัวด้วยตัวเองถ้าเป็นอาการปวดหัวที่ไม่รุนแรงหรือฉับพลัน เราสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยวิธีเหล่านี้
- ผ่อนคลายความตึงเครียดเหนื่อยล้า ด้วยการพยายามพักสายตา พักผ่อนร่างกายและจิตใจให้เพียงพอ
- เปลี่ยนอิริยาบถจากงานประจำที่เป็นอยู่ ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อพักสมอง เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ หรือฟังธรรม
- เปลี่ยนองค์ประกอบในบ้านหรือโต๊ะทำงาน เช่น จัดห้อง จัดโต๊ะทำงาน ให้รู้สึกโล่ง สบาย ไม่อุดอู้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการปวดหัว เพราะการออกกำลังการจะทำให้ระบบไหลเวียนของการร่างกายทำงานดีขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะ
- นวดประคบ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นนวดบริเวณขมับ ท้ายทอย และต้นคอ จะทำให้รู้สึกดีขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะ
- ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาควรใช้ยาพาราเซตามอล หรือแอสไพริน แล้วดื่มน้ำตามมากๆ แต่ไม่ควรกินบ่อยครั้ง หากมีอาการรุนแรงเกินกว่ายาจะบรรเทาได้ควรรีบไปพบแพทย์
วิธีแล้วลองปฏิบัติดูนะคะ อย่าปล่อยให้อาการปวดหัวสะสมจนลุกลามเป็นโรคเรื้อรังที่มาเบียดบังความสุขประจำวันของชีวิตคุณเลย
กินยาพาราฯ แค่ไหนไม่อันตราย
การกินยาพาราเซตามอลในปริมาณที่ถูกต้อง คือต้องกินในขนาด 10 มิลลิกรัม(มก.) ต่อน้ำหนัก ตัว 1 กิโลกรัม(กก.) ต่อครั้ง และกินห่างกันทุก 4-6 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าหากคุณมีน้ำหนักตัว 30 กก. ก็ควรกินยาพารา = 10 x 30 = 300 มก. หรือหากมีน้ำหนักตัว 60 กก. ควรกินยาพารา = 10 x 60 = 600 มก. เป็นต้น
ยาพาราที่วางขายนั้นมีอยู่ 2 ขนาด คือ 325 มก. และ 500 มก. แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแบบ 500 มก. มากกว่า ดังนั้นหากคุณมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กก. ก็ควรกินยาพาราขนาด 500 มก. จำนวน 1 เม็ด แต่หากว่าคุณน้ำหนักตัวมากกว่า 50 กก. ก็ควรกินยาพารา 2 เม็ด
แม้ว่ายาพาราจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หากกินอย่างถูกต้องในระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้าหากกินนานติดต่อเกิน 5 วัน ก็อาจมีผลเสียต่อตับได้ค่ะ
วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551
FW: เรื่องสนุกๆ ของคณิตศาสตร์
1) คีย์ ตัวเลข 3 ตัวแรกของเบอร์มือถือคุณในเครื่องคิดเลข > ( เฉพาะเบอร์โทร ไม่รวมรหัสนำ 01,06,09)
2) คูณ ด้วย 80
3) บวก 1
4) คูณ ด้วย 250
5) บวก ด้วย ตัวเลข 4 ตัวที่เหลือของเบอร์มือถือ
6) บวก ด้วย ตัวเลข 4 ตัวที่เหลือของเบอร์มือถืออีกครั้ง
7) ลบ 250 > 8) สุดท้าย หารด้วย 2
***** ใช่เบอร์มือถือของคุณรึเปล่าเอ่ย ?
2) คูณ ด้วย 80
3) บวก 1
4) คูณ ด้วย 250
5) บวก ด้วย ตัวเลข 4 ตัวที่เหลือของเบอร์มือถือ
6) บวก ด้วย ตัวเลข 4 ตัวที่เหลือของเบอร์มือถืออีกครั้ง
7) ลบ 250 > 8) สุดท้าย หารด้วย 2
***** ใช่เบอร์มือถือของคุณรึเปล่าเอ่ย ?
FW: ทายนิสัยจากผู้ให้ของขวัญ
เพื่อนๆ รู้ไหมว่า 'ของขวัญ' นอกจากเป็นสิ่งแทนใจบอกความนัยของผู้มอบให้แล้ว ยังสามารถบอกนิสัยของผู้มอบให้ได้อีกด้วย ว่าแล้วเราไปอ่านคำทำนาย ทายนิสัยของผู้ส่งของขวัญพร้อมๆ กันเลย
ตุ๊กตา - สัญลักษณ์แห่งความปรารถนาดี และมิตรภาพ ผู้ที่ชอบให้ตุ๊กตาเป็นของขวัญของฝากแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ แสดงว่าเป็นคนที่มีความอ่อนเยาว์อยู่ในจิตใจ ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี มักมีอารมณ์เบิกบาน แจ่มใส แต่ก็ดื้อเงียบ ชอบเอาแต่ใจตนเองพอสมควร
หัวใจ – สัญลักษณ์ของความรัก ผู้ที่ชอบให้ของขวัญผู้อื่นเป็นรูปหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นจี้ ต่างหู หมอน กล่องดนตรี หรือข้าวของของใดๆ ก็ตามที่มีรูปทรงเป็นรูปหัวใจ แสดงว่าเป็นคนที่โรแมนติกไม่น้อย ให้ความสำคัญกับเรื่องความรักความผูกพัน มักแคร์คนอื่นและช่างคิดช่างฝัน
น้ำหอม – สัญลักษณ์ของเสน่ห์และความปรารถนาดี ผู้ที่ชอบซื้อน้ำหอมเป็นของขวัญของฝากแก่คนรอบข้าง เป็นคนที่มีรสนิยมดี มีเสน่ห์ มักชอบสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น เข้ากับผู้คนง่าย รักสวยรักงาม ค่อนข้างสำอางมีความหยิ่งทะนงในตนเอง ไม่ใช่คนเรียบง่ายนัก และมักเป็นห่วงภาพลักษณ์ของตนเองเสมอ
สุนัข – สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความซื่อสัตย์ภักดี คนที่ชอบให้สุนัขเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและค่อนข้างจะอ่อนไหวไม่น้อย ส่วนคนที่อยากได้สุนัขเป็นของขวัญก็เช่นกัน เรียกได้ว่า ยังมีความเป็นเด็กๆ อยู่ในตัวเอง ชอบที่จะเล่นสนุก ชอบให้ใครๆ มาคอยเอาใจ แต่ก็ยังเป็นคนที่แคร์คนอื่นและไม่เห็นแก่ตัว
แมว – สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความอิสระ คนที่ชอบให้แมวเป็นของขวัญ หรือคนที่อยากได้แมวเป็นของขวัญ เป็นคนที่ตามใจตัวเองสูง ไม่ค่อยมีความพยายามที่จะปรับตัว หรือปรับใจแม้ในสถานการณ์ที่สำคัญๆ เป็นคนที่รักอิสระ ไม่ค่อยเปิดเผย ประมาณว่า ชอบเก็บความรู้สึก แต่ก็มีน้ำใจ ติดเพื่อน และค่อนข้างเอื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่ชอบความเร่งร้อน
ปลา – สัญลักษณ์ของความเยือกเย็น ความมีชีวิต และความอุดมสมบูรณ์คนที่ให้ปลาเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่รักบ้าน รักครอบครัว อารมณ์ดี ชอบเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง แต่ก็สามารถที่จะอยู่เงียบๆ ตามลำพังได้ดี เพราะเป็นคนช่างคิดช่างฝัน แม้บ้างครั้งจะหัวดื้อไปสักนิด เอาแต่ใจตัวเองสักหน่อย แต่ก็รักเพื่อน และมีน้ำใจไมตรีเสมอ
ช็อกโกแลต - สัญลักษณ์แห่งความรัก และมิตรภาพ ผู้ที่ชอบมอบช็อกโกแลตเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น แสดงว่าเป็นคนอารมณ์ดี ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมพิษภัยกับใคร แม้ว่าจะดูเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ ชอบสนุกสนานแต่ก็มีความรับผิดชอบสูง มีน้ำใจ เจ้าชู้แต่ไม่หลายใจ
เครื่องประดับ – สัญลักษณ์แห่งความหรู และความสำเร็จ ผู้ที่ชอบมอบเครื่องประดับเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นต่างหู แหวน กำไล สร้อยข้อมือ สร้อยข้อเท้า หรือจี้ แสดงว่าเป็นคนที่ช่างสังเกต ช่างเลือกช่างคิด มักให้ความสนใจในการวางตัว และการสร้างภาพพจน์เป็นคนที่มีรสนิยมดี รักสวยรักงาม ชอบความโดดเด่น
เทียนหอม – สัญลักษณ์ของความหวังและแรงบันดาลใจ เทียนหอมเป็นสัญลักษณ์ของความผ่อนคลาย และความรัก ผู้ที่ชอบให้เทียนหอมเป็นของขวัญแก่ผู้อื่นเป็นคนที่โรแมนติกไม่เบา ชอบเที่ยว ชอบดูหนัง ฟังเพลง ช่างคิดช่างฝัน ดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่จริงๆ แล้วก็ดื้อดึง และเอาแต่ใจตัวเองสุดฤทธิ์เหมือนกัน
คุกกี้ - สัญลักษณ์ของความสุข และความปรารถนาดี ผู้ที่ชอบให้คุกกี้เป็นของขวัญแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะทำเองหรือซื้อมาแจกก็ตาม เป็นคนที่ชอบพบปะพูดคุยกับผู้คน ค่อนข้างอารมณ์ดีเข้ากับคนง่าย ไม่ชอบความขัดแย้ง ไม่ก้าวร้าวใคร แต่ก็ขี้น้อยใจเก่ง และไม่ค่อยละเอียดรอบคอบนัก
พระเครื่อง – สัญลักษณ์ของความร่มเย็นเป็นสุข ผู้ที่ชอบให้ของขวัญผู้อื่นเป็นพระเครื่องห้อยกับสร้อยคอ หรือพระพุทธรูปบูชา เป็นคนที่มีความรักบ้าน รักครอบครัว รักเกียรติ รักศักดิ์ศรีสูง ชอบให้ผู้คนยกย่องนับถือ เป็นคนมีความเป็นผู้นำ สุขุมรอบคอบจิตใจดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ค่อยชอบความอึกทึกวุ่นวายใดๆ รักธรรมชาติและรักสงบ
อัลบั้มภาพ – สัญลักษณ์แห่งความทรงจำ ผู้ที่ชอบให้อัลบั้มรูปภาพเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่ใส่ใจความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้อื่นเสมอ มีความละเอียดอ่อนพอสมควร ไม่ใช่คนเจ้าระเบียบนักแต่ก็ไม่สะเพร่า เป็นคนที่รู้จักแคร์คนอื่น มีความคิดสร้างสรรค์ มักคำนึงถึงสิ่งดีเป็นประโยชน์มากกว่าเรื่องไร้สาระ
ช่อดอกไม้ - สัญลักษณ์ของความรัก และความปรารถนาดี ผู้ที่ชอบให้ช่อดอกไม้เป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง โรแมนติกไม่น้อย และเจ้าชู้ไม่เบาเหมือนกัน นอกจากจะเป็นคนละเอียดอ่อนและอารมณ์ละเมียดละเมียดละไมไม่ธรรมดาแล้ว ยังซ่อนความดื้อเงียบและหยิ่งทะนงไว้ในตนอีกด้วย
เค้ก – สัญลักษณ์ของความสุข และความยินดี ผู้ที่ชอบมอบเค้กเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน และมีน้ำใจประมาณว่าหน้าใหญ่หน้าโต ไม่ใช่คนละเอียดอ่อนนักไม่ชอบคิดมาก ค่อนข้างจะชอบให้ใครๆ ชื่นชมตนเอง และเป็นคนที่นับถือตัวเองม้าก…มาก
เสื้อผ้า – สัญลักษณ์ของภาพลักษณ์ คนที่ชอบมอบของขวัญให้แก่ผู้อื่นเป็นเสื้อผ้า แสดงว่าเป็นคนที่ค่อนข้างนับถือตนเอง ชอบคิดชอบวางแผน ช่างสังเกต เป็นคนมีน้ำใจไมตรี ดูเหมือนคนเรียบๆ ง่ายๆ แต่มักห่วงในเรื่องเกียรติศักดิ์เกินเหตุ
ถ้วยกาแฟ, ถ้วยชา – สัญลักษณ์ของมิตรภาพ คนที่ชอบมอบถ้วยกาแฟ ถ้วยชา เป็นของขวัญแก่ผู้อื่น แสดงว่าเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ชอบความอบอุ่นผูกพัน แม้ไม่ใช่คนละเอียดลึกซึ้งนักแต่ก็ชอบคิดชอบฝัน รักอิสระ รักเพื่อน ชอบความเรียบง่ายมากกว่าพิธีรีตอง
อุปกรณ์กีฬา - สัญลักษณ์ของพลังชีวิต และความมั่นคงทางอารมณ์ ผู้ที่ชอบมอบอุปกรณ์กีฬาเป็นของขวัญให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกบาสเก็ตบอล รองเท้ากีฬา ไม้เทนนิส หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเรื่องกีฬา แสดงว่าเป็นคนที่ค่อนข้างรักตัวเอง ไม่หวั่นไหวง่าย มีเป้าหมายชีวิต จริงใจ แต่ไม่ค่อยเปิดเผยความในใจให้ใครๆ รู้
หมวก - สัญลักษณ์ของความโดดเด่น และความระแวดระวัง คนที่ชอบให้หมวกเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่อาจจะดูเรียบๆ ง่ายๆ แสนมั่นใจในตนเอง แต่ที่แท้เป็นคนขี้อายไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเองนัก ค่อนข้างรักอิสระ ดื้อเงียบ และไม่ชอบทำอะไรเหมือนใคร
ปากกา – สัญลักษณ์ของความสำเร็จ คนที่ชอบมอบปากกาเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่ค่อนข้างจะรักษาภาพลักษณ์ของตนเองสุดฤทธิ์ เป็นคนช่างคิดช่างสังเกตและช่างเลือก ยากที่จะมองข้ามในรายละเอียดต่างๆ เป็นคนทะเยอทะยาน หยิ่งทะนง หลงตนเองเล็กน้อย แต่ซื่อตรงมาก
กรอบรูป – สัญลักษณ์ของความคิดและความทรงจำ คนที่ชอบมอบของขวัญแก่ผู้อื่นเป็นกรอบรูป แสดงว่าเป็นคนที่ชอบจดจำเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านไป ค่อนข้างจะมีไอเดียแปลกใหม่ ชอบงานศิลปะ ชอบตกแต่ง แม้จะดื้อดึงบ้าง แต่ก็รู้จักแคร์คนอื่น เป็นคนอ่อนไหวแต่ไม่อ่อนแอ
ตุ๊กตา - สัญลักษณ์แห่งความปรารถนาดี และมิตรภาพ ผู้ที่ชอบให้ตุ๊กตาเป็นของขวัญของฝากแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ แสดงว่าเป็นคนที่มีความอ่อนเยาว์อยู่ในจิตใจ ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี มักมีอารมณ์เบิกบาน แจ่มใส แต่ก็ดื้อเงียบ ชอบเอาแต่ใจตนเองพอสมควร
หัวใจ – สัญลักษณ์ของความรัก ผู้ที่ชอบให้ของขวัญผู้อื่นเป็นรูปหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นจี้ ต่างหู หมอน กล่องดนตรี หรือข้าวของของใดๆ ก็ตามที่มีรูปทรงเป็นรูปหัวใจ แสดงว่าเป็นคนที่โรแมนติกไม่น้อย ให้ความสำคัญกับเรื่องความรักความผูกพัน มักแคร์คนอื่นและช่างคิดช่างฝัน
น้ำหอม – สัญลักษณ์ของเสน่ห์และความปรารถนาดี ผู้ที่ชอบซื้อน้ำหอมเป็นของขวัญของฝากแก่คนรอบข้าง เป็นคนที่มีรสนิยมดี มีเสน่ห์ มักชอบสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น เข้ากับผู้คนง่าย รักสวยรักงาม ค่อนข้างสำอางมีความหยิ่งทะนงในตนเอง ไม่ใช่คนเรียบง่ายนัก และมักเป็นห่วงภาพลักษณ์ของตนเองเสมอ
สุนัข – สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความซื่อสัตย์ภักดี คนที่ชอบให้สุนัขเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและค่อนข้างจะอ่อนไหวไม่น้อย ส่วนคนที่อยากได้สุนัขเป็นของขวัญก็เช่นกัน เรียกได้ว่า ยังมีความเป็นเด็กๆ อยู่ในตัวเอง ชอบที่จะเล่นสนุก ชอบให้ใครๆ มาคอยเอาใจ แต่ก็ยังเป็นคนที่แคร์คนอื่นและไม่เห็นแก่ตัว
แมว – สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความอิสระ คนที่ชอบให้แมวเป็นของขวัญ หรือคนที่อยากได้แมวเป็นของขวัญ เป็นคนที่ตามใจตัวเองสูง ไม่ค่อยมีความพยายามที่จะปรับตัว หรือปรับใจแม้ในสถานการณ์ที่สำคัญๆ เป็นคนที่รักอิสระ ไม่ค่อยเปิดเผย ประมาณว่า ชอบเก็บความรู้สึก แต่ก็มีน้ำใจ ติดเพื่อน และค่อนข้างเอื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่ชอบความเร่งร้อน
ปลา – สัญลักษณ์ของความเยือกเย็น ความมีชีวิต และความอุดมสมบูรณ์คนที่ให้ปลาเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่รักบ้าน รักครอบครัว อารมณ์ดี ชอบเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง แต่ก็สามารถที่จะอยู่เงียบๆ ตามลำพังได้ดี เพราะเป็นคนช่างคิดช่างฝัน แม้บ้างครั้งจะหัวดื้อไปสักนิด เอาแต่ใจตัวเองสักหน่อย แต่ก็รักเพื่อน และมีน้ำใจไมตรีเสมอ
ช็อกโกแลต - สัญลักษณ์แห่งความรัก และมิตรภาพ ผู้ที่ชอบมอบช็อกโกแลตเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น แสดงว่าเป็นคนอารมณ์ดี ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมพิษภัยกับใคร แม้ว่าจะดูเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ ชอบสนุกสนานแต่ก็มีความรับผิดชอบสูง มีน้ำใจ เจ้าชู้แต่ไม่หลายใจ
เครื่องประดับ – สัญลักษณ์แห่งความหรู และความสำเร็จ ผู้ที่ชอบมอบเครื่องประดับเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นต่างหู แหวน กำไล สร้อยข้อมือ สร้อยข้อเท้า หรือจี้ แสดงว่าเป็นคนที่ช่างสังเกต ช่างเลือกช่างคิด มักให้ความสนใจในการวางตัว และการสร้างภาพพจน์เป็นคนที่มีรสนิยมดี รักสวยรักงาม ชอบความโดดเด่น
เทียนหอม – สัญลักษณ์ของความหวังและแรงบันดาลใจ เทียนหอมเป็นสัญลักษณ์ของความผ่อนคลาย และความรัก ผู้ที่ชอบให้เทียนหอมเป็นของขวัญแก่ผู้อื่นเป็นคนที่โรแมนติกไม่เบา ชอบเที่ยว ชอบดูหนัง ฟังเพลง ช่างคิดช่างฝัน ดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่จริงๆ แล้วก็ดื้อดึง และเอาแต่ใจตัวเองสุดฤทธิ์เหมือนกัน
คุกกี้ - สัญลักษณ์ของความสุข และความปรารถนาดี ผู้ที่ชอบให้คุกกี้เป็นของขวัญแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะทำเองหรือซื้อมาแจกก็ตาม เป็นคนที่ชอบพบปะพูดคุยกับผู้คน ค่อนข้างอารมณ์ดีเข้ากับคนง่าย ไม่ชอบความขัดแย้ง ไม่ก้าวร้าวใคร แต่ก็ขี้น้อยใจเก่ง และไม่ค่อยละเอียดรอบคอบนัก
พระเครื่อง – สัญลักษณ์ของความร่มเย็นเป็นสุข ผู้ที่ชอบให้ของขวัญผู้อื่นเป็นพระเครื่องห้อยกับสร้อยคอ หรือพระพุทธรูปบูชา เป็นคนที่มีความรักบ้าน รักครอบครัว รักเกียรติ รักศักดิ์ศรีสูง ชอบให้ผู้คนยกย่องนับถือ เป็นคนมีความเป็นผู้นำ สุขุมรอบคอบจิตใจดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ค่อยชอบความอึกทึกวุ่นวายใดๆ รักธรรมชาติและรักสงบ
อัลบั้มภาพ – สัญลักษณ์แห่งความทรงจำ ผู้ที่ชอบให้อัลบั้มรูปภาพเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่ใส่ใจความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้อื่นเสมอ มีความละเอียดอ่อนพอสมควร ไม่ใช่คนเจ้าระเบียบนักแต่ก็ไม่สะเพร่า เป็นคนที่รู้จักแคร์คนอื่น มีความคิดสร้างสรรค์ มักคำนึงถึงสิ่งดีเป็นประโยชน์มากกว่าเรื่องไร้สาระ
ช่อดอกไม้ - สัญลักษณ์ของความรัก และความปรารถนาดี ผู้ที่ชอบให้ช่อดอกไม้เป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง โรแมนติกไม่น้อย และเจ้าชู้ไม่เบาเหมือนกัน นอกจากจะเป็นคนละเอียดอ่อนและอารมณ์ละเมียดละเมียดละไมไม่ธรรมดาแล้ว ยังซ่อนความดื้อเงียบและหยิ่งทะนงไว้ในตนอีกด้วย
เค้ก – สัญลักษณ์ของความสุข และความยินดี ผู้ที่ชอบมอบเค้กเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน และมีน้ำใจประมาณว่าหน้าใหญ่หน้าโต ไม่ใช่คนละเอียดอ่อนนักไม่ชอบคิดมาก ค่อนข้างจะชอบให้ใครๆ ชื่นชมตนเอง และเป็นคนที่นับถือตัวเองม้าก…มาก
เสื้อผ้า – สัญลักษณ์ของภาพลักษณ์ คนที่ชอบมอบของขวัญให้แก่ผู้อื่นเป็นเสื้อผ้า แสดงว่าเป็นคนที่ค่อนข้างนับถือตนเอง ชอบคิดชอบวางแผน ช่างสังเกต เป็นคนมีน้ำใจไมตรี ดูเหมือนคนเรียบๆ ง่ายๆ แต่มักห่วงในเรื่องเกียรติศักดิ์เกินเหตุ
ถ้วยกาแฟ, ถ้วยชา – สัญลักษณ์ของมิตรภาพ คนที่ชอบมอบถ้วยกาแฟ ถ้วยชา เป็นของขวัญแก่ผู้อื่น แสดงว่าเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ชอบความอบอุ่นผูกพัน แม้ไม่ใช่คนละเอียดลึกซึ้งนักแต่ก็ชอบคิดชอบฝัน รักอิสระ รักเพื่อน ชอบความเรียบง่ายมากกว่าพิธีรีตอง
อุปกรณ์กีฬา - สัญลักษณ์ของพลังชีวิต และความมั่นคงทางอารมณ์ ผู้ที่ชอบมอบอุปกรณ์กีฬาเป็นของขวัญให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกบาสเก็ตบอล รองเท้ากีฬา ไม้เทนนิส หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเรื่องกีฬา แสดงว่าเป็นคนที่ค่อนข้างรักตัวเอง ไม่หวั่นไหวง่าย มีเป้าหมายชีวิต จริงใจ แต่ไม่ค่อยเปิดเผยความในใจให้ใครๆ รู้
หมวก - สัญลักษณ์ของความโดดเด่น และความระแวดระวัง คนที่ชอบให้หมวกเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่อาจจะดูเรียบๆ ง่ายๆ แสนมั่นใจในตนเอง แต่ที่แท้เป็นคนขี้อายไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเองนัก ค่อนข้างรักอิสระ ดื้อเงียบ และไม่ชอบทำอะไรเหมือนใคร
ปากกา – สัญลักษณ์ของความสำเร็จ คนที่ชอบมอบปากกาเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่ค่อนข้างจะรักษาภาพลักษณ์ของตนเองสุดฤทธิ์ เป็นคนช่างคิดช่างสังเกตและช่างเลือก ยากที่จะมองข้ามในรายละเอียดต่างๆ เป็นคนทะเยอทะยาน หยิ่งทะนง หลงตนเองเล็กน้อย แต่ซื่อตรงมาก
กรอบรูป – สัญลักษณ์ของความคิดและความทรงจำ คนที่ชอบมอบของขวัญแก่ผู้อื่นเป็นกรอบรูป แสดงว่าเป็นคนที่ชอบจดจำเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านไป ค่อนข้างจะมีไอเดียแปลกใหม่ ชอบงานศิลปะ ชอบตกแต่ง แม้จะดื้อดึงบ้าง แต่ก็รู้จักแคร์คนอื่น เป็นคนอ่อนไหวแต่ไม่อ่อนแอ
วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551
FW: เกี่ยวกับ..ลิปสติก
ข้อมูลข้างล่างนี้สำหรับผู้ที่ใช้ ลิปสติค และ แหวนทองคำ
ยากที่จะคิดว่าสองสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร หากลิปสติค ไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ? ตราสินค้าไม่ได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ตราสินค้าที่มีชื่อว่า 'Red Earth! '! ได้ลดราคาสินค้าจาก $67 ลงมาเหลือเพียง $9.90 เนื่องจากพบว่ามีตะกั่วเป็นส่วนผสม ซึ่งตะกั่วเป็นสารที่เป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็ง
ตราสินค้าที่คาดว่าจะมีตะกั่วเป็นส่วนผสม คือ :
1. CHRISTIANDIOR
2. LANCOME
3. CLINIQUE
4. Y.S.L
5. ESTEELAUDER
6. SHISEIDO
7. RED EARTH (Lip Gloss)
8. CHANEL (Lip Conditioner)
9. MARKET AMERICA - MOTNES LIPSTICK สินค้าที่มีตะกั่วเป็นส่วนผสมยิ่งมาก ก ็ยิ่งมีโอกาสที่จะก่อให้เกิด มะเร็งได้มากขึ้น หลังจากการทดสอบลิปสติคหลายแท่ง พบว่า ลิปสติคของ Y.S.L. มีส่วนผสมเป็นตะกั่วมากที่สุด ระวังการใช้ลิปสติคที่ติดได้ทนนาน เพราะลิปสติคที่ติดได้ทนนานของคุณมีส่วนผสมของตะกั่วอยู่นั่นเอง
คุณสามารถทำการทดสอบได้ด้วยตัวเองโดย :-
1. ทาลิปสติคลงบนมือของคุณ
2. ใช้แหวนทองคำถูลงบนลิปสติคนั้น
3. ถ้าลิปสติคเปลี่ยนเป็นสีดำ
4. คุณก็รู้ได้ว่าลิปสติคนั้นมีส่วนผสมของตะกั่ว
อ่าวแล้วอย่าลืมเล่าสู่กันฟังด้วยนะจ๊ะเพื่อนผู้หญิง , ภรรยา และ สมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรี
pas passanan (p_passanan@yahoo.com)
ยากที่จะคิดว่าสองสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร หากลิปสติค ไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ? ตราสินค้าไม่ได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ตราสินค้าที่มีชื่อว่า 'Red Earth! '! ได้ลดราคาสินค้าจาก $67 ลงมาเหลือเพียง $9.90 เนื่องจากพบว่ามีตะกั่วเป็นส่วนผสม ซึ่งตะกั่วเป็นสารที่เป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็ง
ตราสินค้าที่คาดว่าจะมีตะกั่วเป็นส่วนผสม คือ :
1. CHRISTIANDIOR
2. LANCOME
3. CLINIQUE
4. Y.S.L
5. ESTEELAUDER
6. SHISEIDO
7. RED EARTH (Lip Gloss)
8. CHANEL (Lip Conditioner)
9. MARKET AMERICA - MOTNES LIPSTICK สินค้าที่มีตะกั่วเป็นส่วนผสมยิ่งมาก ก ็ยิ่งมีโอกาสที่จะก่อให้เกิด มะเร็งได้มากขึ้น หลังจากการทดสอบลิปสติคหลายแท่ง พบว่า ลิปสติคของ Y.S.L. มีส่วนผสมเป็นตะกั่วมากที่สุด ระวังการใช้ลิปสติคที่ติดได้ทนนาน เพราะลิปสติคที่ติดได้ทนนานของคุณมีส่วนผสมของตะกั่วอยู่นั่นเอง
คุณสามารถทำการทดสอบได้ด้วยตัวเองโดย :-
1. ทาลิปสติคลงบนมือของคุณ
2. ใช้แหวนทองคำถูลงบนลิปสติคนั้น
3. ถ้าลิปสติคเปลี่ยนเป็นสีดำ
4. คุณก็รู้ได้ว่าลิปสติคนั้นมีส่วนผสมของตะกั่ว
อ่าวแล้วอย่าลืมเล่าสู่กันฟังด้วยนะจ๊ะเพื่อนผู้หญิง , ภรรยา และ สมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรี
pas passanan (p_passanan@yahoo.com)
FW: World 10 Most Amazing Temples

Tiger's Nest Monastery, perched precariously on the edge of a 3,000-feet-high cliff in Paro Valley , is one of the holiest places in Bhutan


Prambanan is a Hindu temple in Central Java , Indonesia . The temple was built in 850 CE, and is composed of 8 main shrines and 250 surrounding smaller ones

No one knows exactly when the Shwedagon Paya [wiki] (or Pagoda) in Myanmar was built - legend has it that it is 2,500 years old though archaeologists estimate that it was built between the 6th and 10th century.

Temple of Heaven is a Taois. temple in Beijing , the capital of China . The temple was constructed in 14th century by Emperor Yongle of the Ming Dynasty

Chion-in Temple (wiki) was built in 1234 CE to honor the founder of Jodo ( Pure Land ) Buddhism, a priest named Honen, who fasted to death in the very spot.

In the 19th century, Dutch occupiers of Indonesia found a massive ancient ruin deep in the jungles of Java. What they discovered was the complex of Borobudur, a gigantic structure built with nearly 2 million cubic feet (55,000 m?) of stones. The temple has nearly 2,700 relief panels and 504 Buddha statues.

The Harmandir Sahib (meaning The Abode of God) or simply the Golden Temple [wiki] in Punjab , India is the most sacred shrine of Sikhism.

The Temple of Srirangam (Sri Ranganathaswamy Temple [wiki]), in the Indian city of Tiruchirapalli (or Trichy), is the largest functioning Hindu temple in the world (Ankor Wat is the largest of all temple, but it is currently non-functioning as a temple - see below).
วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551
From forward Mail "ความสุข...."

ความสุขอยู่ที่ใด
ฉันไม่มีความสุข...
ฉันไม่ชอบงานที่ฉันทำ เพราะมันน่าเบื่อและไม่มีที่สิ้นสุด
ฉันไม่ชอบเจ้านาย เพราะเขาไม่เคยคิดหรือทำอะไรเองนอกจากชี้นิ้วสั่งกับดุด่าฉันเท่านั้น
ฉันไม่ชอบเช้าวันจันทร์ เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกเหมือนถูกบังคับให้ตื่นขึ้นมาเผชิญโลกที่โหดร้าย แต่ละสัปดาห์ของการทำงานดูราวกับการคืบคลานไปท่ามกลางสนามรบ
ฉันไม่ชอบเช้าวันอังคาร เพราะเป็นวันที่ฉันรู้สึกว่าตัวเองเพิ่งทำงานไปได้วันเดียวยังมีอีกหลายวันที่โหดร้ายรออยู่
ฉันไม่ชอบเช้าวันพุธ เพราะเป็นวันที่ฉันเริ่มตื่นขึ้นมาพร้อมกับความล้าและพบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น
ฉันไม่ชอบเช้าวันพฤหัสบดี เพราะเป็นวันที่ฉันเหนื่อยล้าจากการทำงานมาตลอดหลายวัน แต่ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินต่อไป พรุ่งนี้ก็ยังต้องทำงาน
ฉันไม่ชอบเช้าวันศุกร์ เพราะฉันเหนื่อยจนแทบลุกจากเตียงไม่ไหวแล้วแต่ก็ยังต้องลุกไปทำงาน
ฉันไม่ชอบเช้าวันเสาร์ เพราะฉันอยากตื่นสายๆ แต่กลับมีเด็กบ้านใกล้ๆวิ่งเล่นเสียงดังจนต้องตื่นแต่เช้า
ฉันไม่ชอบเช้าวันอาทิตย์ เพราะฉันจะถูกปลุกแต่เช้าเช่นกันด้วยเสียงเครื่องดูดฝุ่นกับเสียงตัดต้นไม้และเครื่องตัดหญ้าชองเพื่อนบ้าน
ฉันไม่ชอบวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะมันทำให้ร้านรวงในกรุงเทพฯปิด จะซื้อหาอะไรก็ยาก จะออกไปต่างจังหวัดคนก็มาก ฉันเคยเห็นรถติดบนยอดเขาห่างไกลในวันสิ้นปีมาแล้ว
ฉันไม่ชอบรถติด เพราะมันทำให้ฉันถึงที่ทำงานช้า
ฉันไม่ชอบรถเมล์ เพราะฉันต้องยืนเบียดกับคนแปลกหน้าและร้อนอบอ้าว
ฉันไม่ชอบบ้านเช่าที่ฉันอยู่ เพราะมันคับแคบแออัด เปิดหน้าต่างออกไปเห็นแต่ตึกบังท้องฟ้า
ฉันไม่ชอบบ้านเดิมที่ต่างจังหวัด เพราะมันห่างไกลมากและมีแต่ความกันดาร
ฉันไม่ชอบนิยายน้ำเน่า เพราะมันไม่เคยให้แง่คิดหรือช่วยพัฒนาจิตใจของเราให้ดีขึ้นเลย
ฉันไม่ชอบหน้าร้อน เพราะมันทำให้ฉันรู้สึกอบอ้าวและหงุดหงิดทั้งวัน
ฉันไม่ชอบหน้าฝน เพราะมันทำให้ฉันเปียกแฉะ เดินทางลำบาก ตากผ้าก็ไม่แห้ง
ฉันไม่ชอบหน้าหนาว เพราะมันทำให้ฉันเป็นหวัดและไม่มีชีวิตชีวา
ฉันไม่ชอบมหาวิทยาลัยที่ฉันเรียนจบมา เพราะมันไม่ค่อยมีชื่อเสียง ทำให้ฉันหางานทำลำบาก
ฉันไม่ชอบคนรักของฉัน เพราะเขาเป็นคนขวานผ่าซาก ไม่โรแมนติก ไม่เอาอกเอาใจฉันเลย
ฉันไม่ชอบกรุงเทพ เพราะที่นี่มีแต่ความเบียดเสียด ทุกอย่างเร่งรีบและดิ้นรนผู้คนเห็นแก่ตัว
ฉันไม่มีความสุข... ........... ความสุขอยู่ที่ไหนกัน...
.......................................................................................................................
วันหนึ่งฉันยืนอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แม่ลูกคู่หนึ่งนั่งรอรถอยู่ใกล้ๆ ผ่านไปสักพักอยู่ๆลูกชายวัยซนของหญิงคนนั้นก็ชี้นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าและบอก กับแม่ "แม่หมาอยู่บนฟ้า"
"ไหนลูก" แม่ขมวดคิ้วแล้วโน้มตัวมองตามลูก "อ๋อ เมฆน่ะเหรอลูก ดูเป็นหมายังไงนะ"
"นี่ไงแม่ ตรงที่ยื่นๆออกมานี่เป็นหัวหมา นี่หูมัน มีขาหน้าด้วย"
"แล้วขาหลังล่ะลูกไม่เห็นมีเลย"
"มันกระโดดออกจากปุยนุ่น ขาหลังมันเลยจมในปุยนุ่น" เด็กชายว่า
ฉันหันไปมองเมฆก้อนนั้นตามด้วนความอยากรู้อยากเห็นแล้วก็ต้องขมวดคิ้วมัน เป็นแค่ก้อนเมฆสีขาวไร้รูปทรงธรรมดารูปหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความเหมือนกับหมาตรงไหนเลย ฉันยักไหล่แล้วหันไปชะเง้อมองรถเมล์บนถนนตามเดิม เสียเวลาฟังเจ้าเด็กฟุ้งซ่านจริงๆ
"เหรอ...แต่แม่ว่ามันดูเหมือนกับยีราฟนะลูก เห็นมั้ย คอมันยาวเป็นยีราฟเลย หูชี้ด้วย"
"ไม่ใช่นะแม่ ยังเป็นหมาอยู่ หมาคอยาวๆโอ๊ยๆๆทำไมขามันหายไปแล้วล่ะ"
"ข้างบนลมคงพัดแรงน่ะลูก เมฆมันเป็นแค่ไอน้ำที่ลอยในอากาศและจับตัวกันเป็นก้อน พอลมพัดมันก็เปลี่ยนรูปร่างเหมือนกันตอนที่ลูกเป่าควันในชามก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ไงจ๊ะ"
ฉัน เงยหน้ามองก้อนเมฆไอน้ำสีขาวบนทั้งฟ้าอีกครั้ง ฉันมองอย่างไรก็เห็นเป็นเพียงแต่เมฆธรรมดาๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น ในขณะที่แม่ลูกคู่นั้นเห็นเป็นสัตว์ต่างๆมากมาย ทำไมของสิ่งเดียวกันแต่คนสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆกันกลับมองไม่เหมือนกัน หรือว่ามาลูกคู่นี้เห็นในสิ่งที่ฉันไม่เห็น...
บนรถเมล์ที่ฉันโหนไปทำงาน เด็กนักเรียนสองคนใกล้ๆ กำลังพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย
"ทำไมแกรีบอ่านหนังสือคร่ำเคร่งนัก กว่าจะสอบก็ปีหน้าไม่ใช่เหรอ"
"ต้องรีบอ่านสิ อีกแค่ปีเดียวพวกเราต้องสอบแล้วนะ นี่อ่านแทบไม่ได้นอนมาหลายเดือนแล้ว" "เหรอ..." "แล้วแกล่ะ ทำไมจนป่านนี้ยังไม่อ่านหนังสือสักที"
"ไม่ต้องรีบหรอก อีกตั้งปีกว่าจะถึงวันสอบ"
ฉัน มองตามหลังเด็กทั้งสองขณะที่พวกเขาเดินลงจากรถหน้าโรงเรียน นับว่าเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของคนสองคนที่มองสิ่งเดียวกันต่างออกไป คนหนึ่งมองอย่างเป็นทุกข์ อีกคนมองอย่างไม่ทุกข์ หรือว่าทุกสิ่งรอบตัวสามารถมองได้สองแบบจริงๆ แบบเดียวกับที่ฉันมองสองด้านของเหรียญหรือมองแก้วน้ำที่มีน้ำเหลืออยู่ครึ่ง แก้ว
แล้วที่ฉันไม่มีความสุขอยู่ทุกวันนี้เกิดจากการมองของฉันใช่หรือไม่...
เย็น วันนั้นฉันกลับบ้านมานั่งพักที่ระเบียง แมวดำตัวหนึ่งกำลังพยายามจะมาคุ้ยหาขยะในถุงดำที่มัดกองไว้หน้าบ้าน แต่แรกฉันทำท่าจะถอดรองเท้าขว้างใส่แบบที่เคยทำมา แต่พอคิดไปอีกทางว่าการเกิดเป็นแมวจรจัดไร้เจ้าของและที่ซุกหัวนอนนั้นก็แย่ พออยู่แล้ว ยังต้องมาคุ้ยขยะหาอาหารประทังชีวิตให้รอดแล้วยังถูกคนขับไล่อีกไปที่ไหนก็ มีแต่คนไม่ต้อนรับเอ็นดู
ฉันลองเปลี่ยนความคิดดู หันหลังเดินเข้าครัว หยิบไส้กรอกอีสานและแฮมในตู้เย็นออกมาอุ่นเล็กน้อย จากนั้นก็เปิดประตูบ้านออกไป แมวดำยังอยู่ที่กองขยะหน้าบ้าน แสงจากเสาไฟฟ้าที่ส่องสลัวลงมาถึงตัวของมันทำให้มองดูเหมือนกับว่ามันเป็น สิ่งมีชีวิตที่โดดเดี่ยวที่สุดในโลก ฉันส่งเสียงเลียนแบบแมวดังเมี้ยวๆ จนมันหันมามอง
"กินซะนะ อยู่ด้วยกันมานานฉันเพิ่งจะมาใจดีวันนี้แหละ" แมวตัวนั้นค่อยๆเดินมาอย่างกล้าๆกลัวๆจนมาหยุดใกล้ๆฉันจึงวางไส้กรอกอีสาน กับหมูแฮมลงบนพื้น แมวจรจัดส่งเสียงร้องเหมียวๆขณะก้มลงดมอาหารมื้อพิเศษนั้น ในที่สุดมันก็กินอย่างเอร็ดอร่อยทีเดียว
ฉัน ยืนกอดอกมองภาพแมวที่กำลังกินอาหารที่ฉันหามาให้อย่างมีความสุข เพิ่งได้รู้กับตัวเองว่าการไล่แมวกับการให้อาหารแมวนั้นมันให้ความสุขทางใจ ที่แตกต่างกันมากกขนาดนี้เอง
ต่อจากนี้ไปฉันจะมีความสุข... .........................................................................................................
From forward Mail "ความสุข...."
วันพฤหัสบดีที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2551
วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551
มารู้จัก Q10 กัน..
ปัจจุบันนี้ ทุกท่านคงได้ยินคำว่า คิวเท็น และได้เห็นคำว่า Q10 กันอยู่บ่อย ๆ ทั้งในโทรทัศน์ วิทยุตามสื่อโฆษณาต่าง ๆ หรือแม้แต่ในห้างสรรพสินค้าที่มีเครื่องสำอาง ซึ่งมี Q10 เป็นส่วนประกอบแต่ทราบหรือเปล่าว่าจริง ๆ แล้วในร่างกายของคนเราก็มี Q10 นี้เหมือนกัน อีกทั้งไม่เฉพาะผลิตภัณฑ์ความสวยความงามหรือเครื่องสำอางเท่านั้นที่ใช้ Q10 แต่ยังมีการนำ Q10 มาใช้เป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายอีกด้วย มาเริ่มทำความรู้จัก Q10 กันก่อนดีกว่า ว่าคืออะไร แล้วมีความสำคัญต่อร่างกายของคนเราอย่างไร
Q10มีชื่อเรียกมากมายไม่ว่าจะเป็น Co-enzyme Q10 หรือ CoQ10 หรือ Ubiquinoneหรือ Ubiquinole หรือ Ubidecarenone หรือ Ubiquitous หรือ Coenzyme quinone มีชื่อเรียกทางเคมีว่า "2, 3-dimethoxy-5-methyl-6-decaprenyl benzoquinone" น้ำหนักโมเลกุลเท่ากับ 863.36 และมีสูตรเป็น C59H90O4
มีการค้นพบ CoQ10 ครั้งแรกในปี ค.ศ.1957 จากการแยกมาจากส่วนไมโตคอนเดรีย(mitochondria) ของหัวใจวัว โดย Dr. Frederick Crane จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแยกออกมาได้ในรูปของผงละเอียดสีส้ม ในปีเดียวกัน Professor Morton ได้ให้ชื่อสารดังกล่าวว่า "Ubiquinone" ซึ่งหมายถึง Ubiquitous quinone ในปี ค.ศ.1958 Professor Karl Folkers และคณะได้พบสูตรโครงสร้างของ CoQ10(ดังแสดงข้างบน) และทำการสังเคราะห์ CoQ10 โดยครั้งแรกสามารถสังเคราะห์ได้โดยใช้กระบวนการหมัก(fermentation) หลังจากนั้น CoQ10 ก็เริ่มเป็นที่สนใจ และมีการศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น
จากการศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นทำให้ทราบว่า CoQ10 เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง โดยธรรมชาติและมีความจำเป็นต่อร่างกาย CoQ10 เป็นสารประกอบคล้ายวิตามินที่มีคุณสมบัติในการละลายในไขมัน (fat-soluble vitamin-like substance) พบในเซลล์ทุกเซลล์ที่มีชีวิตในร่างกายโดยจะอยู่ที่ส่วนเยื่อหุ้ม (membrane) ของไมโตคอนเดรีย ซึ่งไมไตคอนเดรียนี้ทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์โดยพลังงาน ดังกล่าวอยู่ในรูป ATP(adenosine triphosphate) ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานของเซลล์ พบ CoQ10 มากในอวัยวะ ที่ต้องการพลังงานสูง ซึ่งจะมีจำนวนไมโตรคอนเดรียมาก เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมอง ส่วนอวัยวะอื่น ๆ ก็พบ CoQ10 เช่นกันแต่พบค่อนข้างน้อยเนื่องจากอวัยวะดังกล่าวต้องการพลังงานน้อยจึงมีจำนวนไมโตคอนเดรียน้อยด้วย
CoQ10 ที่ผลิตในร่างกายนี้ สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนชื่อ ไทโรซีน (tyrosine) และฟีนิลอะลานีน (phenylalanine) โดยกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ จะสร้างส่วนวงแหวนควิโนน (quinone ring) ส่วนสายยาว (side chain) สร้างมาจากอะซีติลโคเอ(acetyl CoA) โดยอาศัยกระบวนการภายในร่างกายหลายขั้นตอน ร่วมกันกับวิตามิน 7 ชนิด คือ วิตามินบี 2 (riboflavin) วิตามินบี 3 (niacinamide) วิตามินบี 6 กรดโฟลิก (folic acid)วิตามินบี 12 วิตามินซีและกรดแพนโททีนิก (pantothenic acid) โดย CoQ10 ที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นนี้จะทำหน้าที่เป็นเอนไซม์หลัก (key enzyme) ในวงจรเครป หรือวงจรกรดซิตริก (Kreb's orCitric acid cycle) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำการเปลี่ยนแปลงอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตและไขมันให้อยู่ในรูปของพลังงานที่ ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ โดยหน้าที่ของเอนไซม์โดยทั่วไป ก็คือจะเข้าไปช่วยเร่งปฏิกิริยาภายใน ร่างกาย โดยที่ตัวของเอนไซม์เองไม่ถูกทำลาย หรือถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อปฏิกิริยาดังกล่าวสิ้นสุดลงเนื่องจาก CoQ10 มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการ ที่สร้างพลังงานให้กับร่างกาย ดังนั้นเมื่อระดับของ CoQ10 มีการเปลี่ยนแปลงไปก็จะส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จึงส่งผลให้มีผู้สนใจนำ CoQ10 มาศึกษาในการใช้เป็นอาหารเสริมร่วมกับการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจและ หลอดเลือด โรคเกี่ยวกับเหงือก ฯลฯ นอกจากนี้ ยังนำมาผลิตในรูปเครื่องสำอางเพื่อใช้ในการลดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (photoaging)
Professor Yamamura แห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นบุคคลแรกที่สนใจและนำ CoQ10 มาใช้รักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure) และพบว่าเมื่อผู้ป่วยได้รับ CoQ10 เข้าไปแล้วมีอาการดีขึ้น เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เป็น โรคหัวใจจะมีปริมาณของ CoQ10 ลดลง ดังนั้นเมื่อได้รับ CoQ10 เข้าไป ก็จะทำให้ระดับ CoQ10 ในร่างกายเป็นปกติ ร่างกาย ก็จะสามารถสร้างพลังงานจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจได้ จึงทำให้มีผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้นและใช้ CoQ10 เป็นอาหารเสริมในผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure)โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ (heart muscle disease) โรคเจ็บหน้าอก (angina pectoris) ความดันโลหิตสูง (hypertension) นอกเหนือจากเป็นอาหารเสริมที่ทำให้ระดับ CoQ10 เป็นปกติแล้ว จากการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหลายการวิจัยยังพบว่า CoQ10 มีฤทธิ์เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant)ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย เพิ่มประสิทธิภาพในการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ (enhances the heart's pumping system) และทำให้หัวใจนำก๊าซออกซิเจนไปใช้งานได้มากขึ้น (improving oxygen intake) อีกด้วย
นอกจากการศึกษาการใช้ CoQ10 เป็นอาหารเสริมในผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดแล้ว ยังเริ่มมีการศึกษาเพิ่มเติมในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ธัยรอยด์เป็นพิษ เอดส์ เนื่องจากโรคดังกล่าวมีความต้องการพลังงานให้กับร่างกายเพิ่มมากขึ้นจึงน่าจะมีความต้องการ CoQ10 เพิ่มมากขึ้นในกระบวนการสร้างพลังงานแต่ใน 3 โรคดังกล่าวเป็นการคาดว่าน่าจะทำให้อาการดีขึ้นเมื่อได้รับ CoQ10 เข้าไปเท่านั้น แต่ยังไม่มีข้อมูลและการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมยืนยันอย่างแน่ชัดว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่ ดังนั้นต้องอาศัยเวลาในการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อดูผลความเป็นไปได้ในการนำมาใช้ต่อไป
CoQ10 นอกจากสังเคราะห์ขึ้นจากร่างกายมนุษย์แล้ว ในสัตว์และพืชบางชนิดก็เป็นแหล่งอุดมของCoQ10 เช่นกัน เช่น หัวใจ ตับ ไตของสัตว์ เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรลปลาแซลมอน ฯลฯ ส่วน CoQ10 ในรูปแบบของอาหารเสริมที่มีจำหน่ายนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าเป็นรูปแบบยาเม็ด หรือยาแคปซูล ปริมาณของ CoQ10 ที่มีในยาเม็ดหรือยาแคปซูลก็มีขนาดแตกต่างกันแล้วแต่บริษัทที่ผลิต แต่วิธีการรับประทานอาหารเสริม CoQ10 เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงก็คือ การรับประทานอาหารเสริมดังกล่าวร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เพื่อเป็นการเพิ่มการดูดซึมของ CoQ10 ให้อาหารเสริมเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติของ CoQ10 คือ ละลายได้ดีในไขมัน สิ่งสำคัญที่อยากแนะสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารเสริม CoQ10 มี 2 ประการคือ ประการแรก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนให้อาหารเสริมนี้เพื่อควบคุมให้ได้ปริมาณของ CoQ10 ในอาหารเสริมพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย ประการที่สอง คือ ควรรับประทานอาหารเสริม CoQ10 ร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคดังกล่าว เนื่องจากตัว 10 เองไม่ได้มีฤทธิ์โดยตรงในการรักษาเช่นเดียวกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคอยู่ แต่ CoQ10เพียงแค่ทำให้อาการต่าง ๆ ดีขึ้นเท่านั้น การที่จะหยุดยาที่ใช้ ในการรักษาโรคแล้วรับประทาน CoQ10 เพียงอย่างเดียวอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ก็ได้
นอกเหนือจากการนำ CoQ10 มาเป็นอาหารเสริมแล้วยังมีผู้สนใจในฤทธิ์เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant) และเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองของ CoQ10 มาใช้ในทางเครื่องสำอางสำหรับลดการเกิดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (photoaging) กล่าวคือ ผิวหนังจะมีหน้าที่ในการป้องกันสารพิษ เชื้อโรค และรังสีอุลตราไวโอเลต (ultraviolet) จากแสงอาทิตย์โดยรังสีอุลตราไวโอเลต (UV) มี 2 ชนิด คือ UVA และ UVB แต่ที่เกี่ยวข้องกับริ้วรอยจะเป็นรังสี UVAโดย UVA สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ และจะเริ่มต้นในการผลิตอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งอนุมูลอิสระดังกล่าวนี้ผลิตจากกระบวนการออกซิเดชั่น (oxidation) และอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีนและสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิด ริ้วรอยและหมองคล้ำได้ แต่ร่างกายก็จะมีกระบวนการป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระดังกล่าวโดยกระบวนการทางธรรมชาติ กล่าวคือที่ผิวหนังจะ มีสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant) เช่น วิตามินอี วิตามินซี CoQ10 โดยสารที่มีฤทธิ์ antioxidant ดังกล่าวจะป้องกันไม่ให้เกิดกระบวนการออกซิเดชั่นที่จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำอันตรายต่อผิวหนัง
งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของ CoQ10 ต่อการลดริ้วรอยว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลงนั้น หมายถึงว่าทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นได้ โดยทำการทดลองเป็นระยะเวลา 6 เดือน กล่าวคือ ให้กลุ่มทดลองใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ CoQ10 อยู่ 0.3% ทารอบดวงตาเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าความลึกของริ้วรอยลดลง 27% เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ CoQ10 อยู่ และยังมีอีกหลายงานวิจัยที่พบว่า CoQ10 สามารถลดรอยลึกของริ้วรอยได้แต่ผล ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ จะต้องมีการใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของ CoQ10 อย่างต่อเนื่องดังนั้นสำหรับผู้ที่สนใจใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มี CoQ10 เพื่อต้องการลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นจะต้องพิจารณาว่าสภาพผิวของตนเองเป็นอย่างไร ผิวแห้งหรือผิวมัน หรือผิวธรรมดาเพื่อจะได้เลือกเครื่องสำอางให้เหมาะกับสภาพผิวอีกทั้งต้องพิจารณาว่าความลึกของริ้วรอยมากน้อยแค่ไหนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาว่าต้องมีการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นระยะเวลายาวนานเท่าใด จากผลงานวิจัยพบว่า CoQ10 สามารถลดความลึกของริ้วรอยได้เมื่อใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานแต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำให้ริ้วรอยดังกล่าวตื้นขึ้นมาได้ครบ 100% หรือทำให้ริ้วรอยที่เกิดขึ้นหายไปเลย CoQ10 เพียงแต่ทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลงเท่านั้น เนื่องจากตามธรรมชาติแล้ว ผิวหนังย่อมมีการเสื่อมตามอายุขัยอยู่แล้ว แต่การใช้เครื่องสำอางร่วมด้วยเพียงทำให้การเสื่อมของผิวหนังชะลอลงเท่านั้นไม่ใช่ว่าจะไม่ทำให้เกิดการเสื่อมของผิวหนังเลยดังนั้นต้องมีการชั่งใจพิจารณาถึงข้อดี-ข้อเสีย เปรียบเทียบกับราคาของผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ากับเงินที่สูญเสียไป นอกจาก นี้ยังต้องพิจารณาความไวต่อการแพ้ด้วยกล่าวคือ ถึงแม้ว่า CoQ10จะเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว และมีโอกาสแพ้ค่อนข้างน้อยก็ตามแต่กับบางบุคคลก็อาจมีโอกาสเกิดการแพ้ได้เช่นกันดังนั้นควรทดสอบอาการแพ้ก่อน โดยทาเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ความงามไว้หลังติ่งหู หรือบริเวณข้อพับ ทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง ถ้าไม่มีอาการแพ้ก็แสดงว่าสามารถใช้ได้แต่กับบางบุคคลอาจไม่เกิดการแพ้ ตั้งแต่เริ่มแรกแต่อาจเกิดอาการแพ้หรือคันเรื้อรัง เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ไปได้ระยะหนึ่ง ทางที่ดี ก็คือถ้าพบว่าแพ้ก็ควรหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันที
CoQ10 เป็นสารที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง มีการศึกษาวิจัยเพื่อนำมาใช้ประโยชน์มากมายทั้งทางด้านอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ทำให้คาดว่าในอนาคตน่าจะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองมาใช้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้นไม่ว่าเป็นสาร CoQ10เองหรือสารอื่น ๆ ที่มีในร่างกายทั้งที่มีการค้นพบแล้วหรือยังไม่ได้ค้น พบ เพื่อเป็นการลดอาการแพ้และลดอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นอย่างมากถ้าใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่มีลักษณะแตกต่างจากสารที่ร่างกายมีอยู่ตามธรรมชาติ
เอกสารอ้างอิง
1. U. Hoppe. and G. Sauermann. Coenzyme Q10 - a cutaneous antioxidant and energizer. Kosmetische Medizin. 1999; 20(1).
2. U. Hoppe., R. Lunderstadt. and G. Sauermann. Quantitive analysis of the skin'ssurface by mean of digital signal processing. Journal of the Society of Cosmetic Chemists. 1985; 36: 105-123.
3. http://www.sph.uth.tmc.edu/utcam/summary/CoQ10.html
4. http://www.energywave.com/ CoQ10html
5. http://wwwcsi.union.it/coenzymeQ/article.html
ขอบคุณปิยพร ทองไสว วิจัยมาตรฐานสมุนไพร ให้ข้อมูล
Q10มีชื่อเรียกมากมายไม่ว่าจะเป็น Co-enzyme Q10 หรือ CoQ10 หรือ Ubiquinoneหรือ Ubiquinole หรือ Ubidecarenone หรือ Ubiquitous หรือ Coenzyme quinone มีชื่อเรียกทางเคมีว่า "2, 3-dimethoxy-5-methyl-6-decaprenyl benzoquinone" น้ำหนักโมเลกุลเท่ากับ 863.36 และมีสูตรเป็น C59H90O4
มีการค้นพบ CoQ10 ครั้งแรกในปี ค.ศ.1957 จากการแยกมาจากส่วนไมโตคอนเดรีย(mitochondria) ของหัวใจวัว โดย Dr. Frederick Crane จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแยกออกมาได้ในรูปของผงละเอียดสีส้ม ในปีเดียวกัน Professor Morton ได้ให้ชื่อสารดังกล่าวว่า "Ubiquinone" ซึ่งหมายถึง Ubiquitous quinone ในปี ค.ศ.1958 Professor Karl Folkers และคณะได้พบสูตรโครงสร้างของ CoQ10(ดังแสดงข้างบน) และทำการสังเคราะห์ CoQ10 โดยครั้งแรกสามารถสังเคราะห์ได้โดยใช้กระบวนการหมัก(fermentation) หลังจากนั้น CoQ10 ก็เริ่มเป็นที่สนใจ และมีการศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น
จากการศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นทำให้ทราบว่า CoQ10 เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง โดยธรรมชาติและมีความจำเป็นต่อร่างกาย CoQ10 เป็นสารประกอบคล้ายวิตามินที่มีคุณสมบัติในการละลายในไขมัน (fat-soluble vitamin-like substance) พบในเซลล์ทุกเซลล์ที่มีชีวิตในร่างกายโดยจะอยู่ที่ส่วนเยื่อหุ้ม (membrane) ของไมโตคอนเดรีย ซึ่งไมไตคอนเดรียนี้ทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์โดยพลังงาน ดังกล่าวอยู่ในรูป ATP(adenosine triphosphate) ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานของเซลล์ พบ CoQ10 มากในอวัยวะ ที่ต้องการพลังงานสูง ซึ่งจะมีจำนวนไมโตรคอนเดรียมาก เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมอง ส่วนอวัยวะอื่น ๆ ก็พบ CoQ10 เช่นกันแต่พบค่อนข้างน้อยเนื่องจากอวัยวะดังกล่าวต้องการพลังงานน้อยจึงมีจำนวนไมโตคอนเดรียน้อยด้วย
CoQ10 ที่ผลิตในร่างกายนี้ สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนชื่อ ไทโรซีน (tyrosine) และฟีนิลอะลานีน (phenylalanine) โดยกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ จะสร้างส่วนวงแหวนควิโนน (quinone ring) ส่วนสายยาว (side chain) สร้างมาจากอะซีติลโคเอ(acetyl CoA) โดยอาศัยกระบวนการภายในร่างกายหลายขั้นตอน ร่วมกันกับวิตามิน 7 ชนิด คือ วิตามินบี 2 (riboflavin) วิตามินบี 3 (niacinamide) วิตามินบี 6 กรดโฟลิก (folic acid)วิตามินบี 12 วิตามินซีและกรดแพนโททีนิก (pantothenic acid) โดย CoQ10 ที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นนี้จะทำหน้าที่เป็นเอนไซม์หลัก (key enzyme) ในวงจรเครป หรือวงจรกรดซิตริก (Kreb's orCitric acid cycle) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำการเปลี่ยนแปลงอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตและไขมันให้อยู่ในรูปของพลังงานที่ ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ โดยหน้าที่ของเอนไซม์โดยทั่วไป ก็คือจะเข้าไปช่วยเร่งปฏิกิริยาภายใน ร่างกาย โดยที่ตัวของเอนไซม์เองไม่ถูกทำลาย หรือถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อปฏิกิริยาดังกล่าวสิ้นสุดลงเนื่องจาก CoQ10 มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการ ที่สร้างพลังงานให้กับร่างกาย ดังนั้นเมื่อระดับของ CoQ10 มีการเปลี่ยนแปลงไปก็จะส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จึงส่งผลให้มีผู้สนใจนำ CoQ10 มาศึกษาในการใช้เป็นอาหารเสริมร่วมกับการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจและ หลอดเลือด โรคเกี่ยวกับเหงือก ฯลฯ นอกจากนี้ ยังนำมาผลิตในรูปเครื่องสำอางเพื่อใช้ในการลดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (photoaging)
Professor Yamamura แห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นบุคคลแรกที่สนใจและนำ CoQ10 มาใช้รักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure) และพบว่าเมื่อผู้ป่วยได้รับ CoQ10 เข้าไปแล้วมีอาการดีขึ้น เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เป็น โรคหัวใจจะมีปริมาณของ CoQ10 ลดลง ดังนั้นเมื่อได้รับ CoQ10 เข้าไป ก็จะทำให้ระดับ CoQ10 ในร่างกายเป็นปกติ ร่างกาย ก็จะสามารถสร้างพลังงานจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจได้ จึงทำให้มีผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้นและใช้ CoQ10 เป็นอาหารเสริมในผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure)โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ (heart muscle disease) โรคเจ็บหน้าอก (angina pectoris) ความดันโลหิตสูง (hypertension) นอกเหนือจากเป็นอาหารเสริมที่ทำให้ระดับ CoQ10 เป็นปกติแล้ว จากการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหลายการวิจัยยังพบว่า CoQ10 มีฤทธิ์เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant)ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย เพิ่มประสิทธิภาพในการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ (enhances the heart's pumping system) และทำให้หัวใจนำก๊าซออกซิเจนไปใช้งานได้มากขึ้น (improving oxygen intake) อีกด้วย
นอกจากการศึกษาการใช้ CoQ10 เป็นอาหารเสริมในผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดแล้ว ยังเริ่มมีการศึกษาเพิ่มเติมในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ธัยรอยด์เป็นพิษ เอดส์ เนื่องจากโรคดังกล่าวมีความต้องการพลังงานให้กับร่างกายเพิ่มมากขึ้นจึงน่าจะมีความต้องการ CoQ10 เพิ่มมากขึ้นในกระบวนการสร้างพลังงานแต่ใน 3 โรคดังกล่าวเป็นการคาดว่าน่าจะทำให้อาการดีขึ้นเมื่อได้รับ CoQ10 เข้าไปเท่านั้น แต่ยังไม่มีข้อมูลและการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมยืนยันอย่างแน่ชัดว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่ ดังนั้นต้องอาศัยเวลาในการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อดูผลความเป็นไปได้ในการนำมาใช้ต่อไป
CoQ10 นอกจากสังเคราะห์ขึ้นจากร่างกายมนุษย์แล้ว ในสัตว์และพืชบางชนิดก็เป็นแหล่งอุดมของCoQ10 เช่นกัน เช่น หัวใจ ตับ ไตของสัตว์ เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรลปลาแซลมอน ฯลฯ ส่วน CoQ10 ในรูปแบบของอาหารเสริมที่มีจำหน่ายนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าเป็นรูปแบบยาเม็ด หรือยาแคปซูล ปริมาณของ CoQ10 ที่มีในยาเม็ดหรือยาแคปซูลก็มีขนาดแตกต่างกันแล้วแต่บริษัทที่ผลิต แต่วิธีการรับประทานอาหารเสริม CoQ10 เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงก็คือ การรับประทานอาหารเสริมดังกล่าวร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เพื่อเป็นการเพิ่มการดูดซึมของ CoQ10 ให้อาหารเสริมเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติของ CoQ10 คือ ละลายได้ดีในไขมัน สิ่งสำคัญที่อยากแนะสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารเสริม CoQ10 มี 2 ประการคือ ประการแรก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนให้อาหารเสริมนี้เพื่อควบคุมให้ได้ปริมาณของ CoQ10 ในอาหารเสริมพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย ประการที่สอง คือ ควรรับประทานอาหารเสริม CoQ10 ร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคดังกล่าว เนื่องจากตัว 10 เองไม่ได้มีฤทธิ์โดยตรงในการรักษาเช่นเดียวกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคอยู่ แต่ CoQ10เพียงแค่ทำให้อาการต่าง ๆ ดีขึ้นเท่านั้น การที่จะหยุดยาที่ใช้ ในการรักษาโรคแล้วรับประทาน CoQ10 เพียงอย่างเดียวอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ก็ได้
นอกเหนือจากการนำ CoQ10 มาเป็นอาหารเสริมแล้วยังมีผู้สนใจในฤทธิ์เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant) และเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองของ CoQ10 มาใช้ในทางเครื่องสำอางสำหรับลดการเกิดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (photoaging) กล่าวคือ ผิวหนังจะมีหน้าที่ในการป้องกันสารพิษ เชื้อโรค และรังสีอุลตราไวโอเลต (ultraviolet) จากแสงอาทิตย์โดยรังสีอุลตราไวโอเลต (UV) มี 2 ชนิด คือ UVA และ UVB แต่ที่เกี่ยวข้องกับริ้วรอยจะเป็นรังสี UVAโดย UVA สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ และจะเริ่มต้นในการผลิตอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งอนุมูลอิสระดังกล่าวนี้ผลิตจากกระบวนการออกซิเดชั่น (oxidation) และอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีนและสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิด ริ้วรอยและหมองคล้ำได้ แต่ร่างกายก็จะมีกระบวนการป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระดังกล่าวโดยกระบวนการทางธรรมชาติ กล่าวคือที่ผิวหนังจะ มีสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant) เช่น วิตามินอี วิตามินซี CoQ10 โดยสารที่มีฤทธิ์ antioxidant ดังกล่าวจะป้องกันไม่ให้เกิดกระบวนการออกซิเดชั่นที่จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำอันตรายต่อผิวหนัง
งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของ CoQ10 ต่อการลดริ้วรอยว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลงนั้น หมายถึงว่าทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นได้ โดยทำการทดลองเป็นระยะเวลา 6 เดือน กล่าวคือ ให้กลุ่มทดลองใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ CoQ10 อยู่ 0.3% ทารอบดวงตาเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าความลึกของริ้วรอยลดลง 27% เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ CoQ10 อยู่ และยังมีอีกหลายงานวิจัยที่พบว่า CoQ10 สามารถลดรอยลึกของริ้วรอยได้แต่ผล ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ จะต้องมีการใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของ CoQ10 อย่างต่อเนื่องดังนั้นสำหรับผู้ที่สนใจใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มี CoQ10 เพื่อต้องการลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นจะต้องพิจารณาว่าสภาพผิวของตนเองเป็นอย่างไร ผิวแห้งหรือผิวมัน หรือผิวธรรมดาเพื่อจะได้เลือกเครื่องสำอางให้เหมาะกับสภาพผิวอีกทั้งต้องพิจารณาว่าความลึกของริ้วรอยมากน้อยแค่ไหนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาว่าต้องมีการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นระยะเวลายาวนานเท่าใด จากผลงานวิจัยพบว่า CoQ10 สามารถลดความลึกของริ้วรอยได้เมื่อใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานแต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำให้ริ้วรอยดังกล่าวตื้นขึ้นมาได้ครบ 100% หรือทำให้ริ้วรอยที่เกิดขึ้นหายไปเลย CoQ10 เพียงแต่ทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลงเท่านั้น เนื่องจากตามธรรมชาติแล้ว ผิวหนังย่อมมีการเสื่อมตามอายุขัยอยู่แล้ว แต่การใช้เครื่องสำอางร่วมด้วยเพียงทำให้การเสื่อมของผิวหนังชะลอลงเท่านั้นไม่ใช่ว่าจะไม่ทำให้เกิดการเสื่อมของผิวหนังเลยดังนั้นต้องมีการชั่งใจพิจารณาถึงข้อดี-ข้อเสีย เปรียบเทียบกับราคาของผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ากับเงินที่สูญเสียไป นอกจาก นี้ยังต้องพิจารณาความไวต่อการแพ้ด้วยกล่าวคือ ถึงแม้ว่า CoQ10จะเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว และมีโอกาสแพ้ค่อนข้างน้อยก็ตามแต่กับบางบุคคลก็อาจมีโอกาสเกิดการแพ้ได้เช่นกันดังนั้นควรทดสอบอาการแพ้ก่อน โดยทาเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ความงามไว้หลังติ่งหู หรือบริเวณข้อพับ ทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง ถ้าไม่มีอาการแพ้ก็แสดงว่าสามารถใช้ได้แต่กับบางบุคคลอาจไม่เกิดการแพ้ ตั้งแต่เริ่มแรกแต่อาจเกิดอาการแพ้หรือคันเรื้อรัง เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ไปได้ระยะหนึ่ง ทางที่ดี ก็คือถ้าพบว่าแพ้ก็ควรหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันที
CoQ10 เป็นสารที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง มีการศึกษาวิจัยเพื่อนำมาใช้ประโยชน์มากมายทั้งทางด้านอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ทำให้คาดว่าในอนาคตน่าจะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองมาใช้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้นไม่ว่าเป็นสาร CoQ10เองหรือสารอื่น ๆ ที่มีในร่างกายทั้งที่มีการค้นพบแล้วหรือยังไม่ได้ค้น พบ เพื่อเป็นการลดอาการแพ้และลดอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นอย่างมากถ้าใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่มีลักษณะแตกต่างจากสารที่ร่างกายมีอยู่ตามธรรมชาติ
เอกสารอ้างอิง
1. U. Hoppe. and G. Sauermann. Coenzyme Q10 - a cutaneous antioxidant and energizer. Kosmetische Medizin. 1999; 20(1).
2. U. Hoppe., R. Lunderstadt. and G. Sauermann. Quantitive analysis of the skin'ssurface by mean of digital signal processing. Journal of the Society of Cosmetic Chemists. 1985; 36: 105-123.
3. http://www.sph.uth.tmc.edu/utcam/summary/CoQ10.html
4. http://www.energywave.com/ CoQ10html
5. http://wwwcsi.union.it/coenzymeQ/article.html
ขอบคุณปิยพร ทองไสว วิจัยมาตรฐานสมุนไพร ให้ข้อมูล
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)