ปัจจุบันนี้ ทุกท่านคงได้ยินคำว่า คิวเท็น และได้เห็นคำว่า Q10 กันอยู่บ่อย ๆ ทั้งในโทรทัศน์ วิทยุตามสื่อโฆษณาต่าง ๆ หรือแม้แต่ในห้างสรรพสินค้าที่มีเครื่องสำอาง ซึ่งมี Q10 เป็นส่วนประกอบแต่ทราบหรือเปล่าว่าจริง ๆ แล้วในร่างกายของคนเราก็มี Q10 นี้เหมือนกัน อีกทั้งไม่เฉพาะผลิตภัณฑ์ความสวยความงามหรือเครื่องสำอางเท่านั้นที่ใช้ Q10 แต่ยังมีการนำ Q10 มาใช้เป็นอาหารเสริมบำรุงร่างกายอีกด้วย มาเริ่มทำความรู้จัก Q10 กันก่อนดีกว่า ว่าคืออะไร แล้วมีความสำคัญต่อร่างกายของคนเราอย่างไร
Q10มีชื่อเรียกมากมายไม่ว่าจะเป็น Co-enzyme Q10 หรือ CoQ10 หรือ Ubiquinoneหรือ Ubiquinole หรือ Ubidecarenone หรือ Ubiquitous หรือ Coenzyme quinone มีชื่อเรียกทางเคมีว่า "2, 3-dimethoxy-5-methyl-6-decaprenyl benzoquinone" น้ำหนักโมเลกุลเท่ากับ 863.36 และมีสูตรเป็น C59H90O4
มีการค้นพบ CoQ10 ครั้งแรกในปี ค.ศ.1957 จากการแยกมาจากส่วนไมโตคอนเดรีย(mitochondria) ของหัวใจวัว โดย Dr. Frederick Crane จากประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแยกออกมาได้ในรูปของผงละเอียดสีส้ม ในปีเดียวกัน Professor Morton ได้ให้ชื่อสารดังกล่าวว่า "Ubiquinone" ซึ่งหมายถึง Ubiquitous quinone ในปี ค.ศ.1958 Professor Karl Folkers และคณะได้พบสูตรโครงสร้างของ CoQ10(ดังแสดงข้างบน) และทำการสังเคราะห์ CoQ10 โดยครั้งแรกสามารถสังเคราะห์ได้โดยใช้กระบวนการหมัก(fermentation) หลังจากนั้น CoQ10 ก็เริ่มเป็นที่สนใจ และมีการศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มมากขึ้น
จากการศึกษาเกี่ยวกับรายละเอียดเพิ่มมากขึ้นทำให้ทราบว่า CoQ10 เป็นสารที่ร่างกายสามารถผลิตได้เอง โดยธรรมชาติและมีความจำเป็นต่อร่างกาย CoQ10 เป็นสารประกอบคล้ายวิตามินที่มีคุณสมบัติในการละลายในไขมัน (fat-soluble vitamin-like substance) พบในเซลล์ทุกเซลล์ที่มีชีวิตในร่างกายโดยจะอยู่ที่ส่วนเยื่อหุ้ม (membrane) ของไมโตคอนเดรีย ซึ่งไมไตคอนเดรียนี้ทำหน้าที่ในการผลิตพลังงานให้กับเซลล์โดยพลังงาน ดังกล่าวอยู่ในรูป ATP(adenosine triphosphate) ซึ่งเป็นพลังงานพื้นฐานของเซลล์ พบ CoQ10 มากในอวัยวะ ที่ต้องการพลังงานสูง ซึ่งจะมีจำนวนไมโตรคอนเดรียมาก เช่น หัวใจ ตับ กล้ามเนื้อ สมอง ส่วนอวัยวะอื่น ๆ ก็พบ CoQ10 เช่นกันแต่พบค่อนข้างน้อยเนื่องจากอวัยวะดังกล่าวต้องการพลังงานน้อยจึงมีจำนวนไมโตคอนเดรียน้อยด้วย
CoQ10 ที่ผลิตในร่างกายนี้ สังเคราะห์มาจากกรดอะมิโนชื่อ ไทโรซีน (tyrosine) และฟีนิลอะลานีน (phenylalanine) โดยกรดอะมิโนทั้ง 2 ตัวนี้ จะสร้างส่วนวงแหวนควิโนน (quinone ring) ส่วนสายยาว (side chain) สร้างมาจากอะซีติลโคเอ(acetyl CoA) โดยอาศัยกระบวนการภายในร่างกายหลายขั้นตอน ร่วมกันกับวิตามิน 7 ชนิด คือ วิตามินบี 2 (riboflavin) วิตามินบี 3 (niacinamide) วิตามินบี 6 กรดโฟลิก (folic acid)วิตามินบี 12 วิตามินซีและกรดแพนโททีนิก (pantothenic acid) โดย CoQ10 ที่ร่างกายสังเคราะห์ขึ้นนี้จะทำหน้าที่เป็นเอนไซม์หลัก (key enzyme) ในวงจรเครป หรือวงจรกรดซิตริก (Kreb's orCitric acid cycle) ซึ่งเป็นกระบวนการที่ทำการเปลี่ยนแปลงอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตและไขมันให้อยู่ในรูปของพลังงานที่ ร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ โดยหน้าที่ของเอนไซม์โดยทั่วไป ก็คือจะเข้าไปช่วยเร่งปฏิกิริยาภายใน ร่างกาย โดยที่ตัวของเอนไซม์เองไม่ถูกทำลาย หรือถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อปฏิกิริยาดังกล่าวสิ้นสุดลงเนื่องจาก CoQ10 มีหน้าที่สำคัญในกระบวนการ ที่สร้างพลังงานให้กับร่างกาย ดังนั้นเมื่อระดับของ CoQ10 มีการเปลี่ยนแปลงไปก็จะส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จึงส่งผลให้มีผู้สนใจนำ CoQ10 มาศึกษาในการใช้เป็นอาหารเสริมร่วมกับการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น โรคเกี่ยวกับหัวใจและ หลอดเลือด โรคเกี่ยวกับเหงือก ฯลฯ นอกจากนี้ ยังนำมาผลิตในรูปเครื่องสำอางเพื่อใช้ในการลดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (photoaging)
Professor Yamamura แห่งประเทศญี่ปุ่น เป็นบุคคลแรกที่สนใจและนำ CoQ10 มาใช้รักษาผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure) และพบว่าเมื่อผู้ป่วยได้รับ CoQ10 เข้าไปแล้วมีอาการดีขึ้น เนื่องจากมีการศึกษาพบว่าผู้ป่วยที่เป็น โรคหัวใจจะมีปริมาณของ CoQ10 ลดลง ดังนั้นเมื่อได้รับ CoQ10 เข้าไป ก็จะทำให้ระดับ CoQ10 ในร่างกายเป็นปกติ ร่างกาย ก็จะสามารถสร้างพลังงานจากเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจได้ จึงทำให้มีผู้สนใจศึกษาเพิ่มเติมมากขึ้นและใช้ CoQ10 เป็นอาหารเสริมในผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจล้มเหลว (congestive heart failure)โรคเกี่ยวกับกล้ามเนื้อหัวใจ (heart muscle disease) โรคเจ็บหน้าอก (angina pectoris) ความดันโลหิตสูง (hypertension) นอกเหนือจากเป็นอาหารเสริมที่ทำให้ระดับ CoQ10 เป็นปกติแล้ว จากการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากหลายการวิจัยยังพบว่า CoQ10 มีฤทธิ์เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant)ป้องกันกล้ามเนื้อหัวใจถูกทำลาย เพิ่มประสิทธิภาพในการสูบฉีดโลหิตของหัวใจ (enhances the heart's pumping system) และทำให้หัวใจนำก๊าซออกซิเจนไปใช้งานได้มากขึ้น (improving oxygen intake) อีกด้วย
นอกจากการศึกษาการใช้ CoQ10 เป็นอาหารเสริมในผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือดแล้ว ยังเริ่มมีการศึกษาเพิ่มเติมในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ธัยรอยด์เป็นพิษ เอดส์ เนื่องจากโรคดังกล่าวมีความต้องการพลังงานให้กับร่างกายเพิ่มมากขึ้นจึงน่าจะมีความต้องการ CoQ10 เพิ่มมากขึ้นในกระบวนการสร้างพลังงานแต่ใน 3 โรคดังกล่าวเป็นการคาดว่าน่าจะทำให้อาการดีขึ้นเมื่อได้รับ CoQ10 เข้าไปเท่านั้น แต่ยังไม่มีข้อมูลและการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมยืนยันอย่างแน่ชัดว่ามีประโยชน์จริงหรือไม่ ดังนั้นต้องอาศัยเวลาในการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อดูผลความเป็นไปได้ในการนำมาใช้ต่อไป
CoQ10 นอกจากสังเคราะห์ขึ้นจากร่างกายมนุษย์แล้ว ในสัตว์และพืชบางชนิดก็เป็นแหล่งอุดมของCoQ10 เช่นกัน เช่น หัวใจ ตับ ไตของสัตว์ เนื้อสัตว์ รำข้าว ผลิตภัณฑ์จากถั่ว ปลาซาร์ดีน ปลาแมคเคอเรลปลาแซลมอน ฯลฯ ส่วน CoQ10 ในรูปแบบของอาหารเสริมที่มีจำหน่ายนั้นก็มีหลากหลายรูปแบบไม่ว่าเป็นรูปแบบยาเม็ด หรือยาแคปซูล ปริมาณของ CoQ10 ที่มีในยาเม็ดหรือยาแคปซูลก็มีขนาดแตกต่างกันแล้วแต่บริษัทที่ผลิต แต่วิธีการรับประทานอาหารเสริม CoQ10 เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงก็คือ การรับประทานอาหารเสริมดังกล่าวร่วมกับอาหารที่มีไขมัน เพื่อเป็นการเพิ่มการดูดซึมของ CoQ10 ให้อาหารเสริมเข้าสู่ร่างกายมากขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติของ CoQ10 คือ ละลายได้ดีในไขมัน สิ่งสำคัญที่อยากแนะสำหรับผู้ที่รับประทานอาหารเสริม CoQ10 มี 2 ประการคือ ประการแรก ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนให้อาหารเสริมนี้เพื่อควบคุมให้ได้ปริมาณของ CoQ10 ในอาหารเสริมพอเหมาะกับความต้องการของร่างกาย ประการที่สอง คือ ควรรับประทานอาหารเสริม CoQ10 ร่วมกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคดังกล่าว เนื่องจากตัว 10 เองไม่ได้มีฤทธิ์โดยตรงในการรักษาเช่นเดียวกับยาที่ใช้ในการรักษาโรคอยู่ แต่ CoQ10เพียงแค่ทำให้อาการต่าง ๆ ดีขึ้นเท่านั้น การที่จะหยุดยาที่ใช้ ในการรักษาโรคแล้วรับประทาน CoQ10 เพียงอย่างเดียวอาจไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ก็ได้
นอกเหนือจากการนำ CoQ10 มาเป็นอาหารเสริมแล้วยังมีผู้สนใจในฤทธิ์เป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant) และเป็นสารธรรมชาติที่ร่างกายมนุษย์สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองของ CoQ10 มาใช้ในทางเครื่องสำอางสำหรับลดการเกิดริ้วรอย ชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด (photoaging) กล่าวคือ ผิวหนังจะมีหน้าที่ในการป้องกันสารพิษ เชื้อโรค และรังสีอุลตราไวโอเลต (ultraviolet) จากแสงอาทิตย์โดยรังสีอุลตราไวโอเลต (UV) มี 2 ชนิด คือ UVA และ UVB แต่ที่เกี่ยวข้องกับริ้วรอยจะเป็นรังสี UVAโดย UVA สามารถทะลุผ่านชั้นผิวหนังถึงชั้นหนังแท้ และจะเริ่มต้นในการผลิตอนุมูลอิสระ (free radical) ซึ่งอนุมูลอิสระดังกล่าวนี้ผลิตจากกระบวนการออกซิเดชั่น (oxidation) และอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นนี้ก็จะทำอันตรายต่อไขมัน โปรตีนและสารพันธุกรรม (DNA) ในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิด ริ้วรอยและหมองคล้ำได้ แต่ร่างกายก็จะมีกระบวนการป้องกันอันตรายจากอนุมูลอิสระดังกล่าวโดยกระบวนการทางธรรมชาติ กล่าวคือที่ผิวหนังจะ มีสารที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านออกซิเดชั่น (antioxidant) เช่น วิตามินอี วิตามินซี CoQ10 โดยสารที่มีฤทธิ์ antioxidant ดังกล่าวจะป้องกันไม่ให้เกิดกระบวนการออกซิเดชั่นที่จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งจะทำอันตรายต่อผิวหนัง
งานวิจัยที่ศึกษาเกี่ยวกับผลของ CoQ10 ต่อการลดริ้วรอยว่าสามารถทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลงนั้น หมายถึงว่าทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้นได้ โดยทำการทดลองเป็นระยะเวลา 6 เดือน กล่าวคือ ให้กลุ่มทดลองใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ CoQ10 อยู่ 0.3% ทารอบดวงตาเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าความลึกของริ้วรอยลดลง 27% เมื่อเปรียบเทียบกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุมซึ่งไม่ได้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ CoQ10 อยู่ และยังมีอีกหลายงานวิจัยที่พบว่า CoQ10 สามารถลดรอยลึกของริ้วรอยได้แต่ผล ดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ จะต้องมีการใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของ CoQ10 อย่างต่อเนื่องดังนั้นสำหรับผู้ที่สนใจใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่มี CoQ10 เพื่อต้องการลดริ้วรอยที่เกิดขึ้นจะต้องพิจารณาว่าสภาพผิวของตนเองเป็นอย่างไร ผิวแห้งหรือผิวมัน หรือผิวธรรมดาเพื่อจะได้เลือกเครื่องสำอางให้เหมาะกับสภาพผิวอีกทั้งต้องพิจารณาว่าความลึกของริ้วรอยมากน้อยแค่ไหนเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาว่าต้องมีการใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นระยะเวลายาวนานเท่าใด จากผลงานวิจัยพบว่า CoQ10 สามารถลดความลึกของริ้วรอยได้เมื่อใช้ต่อเนื่องกันเป็นเวลานานแต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำให้ริ้วรอยดังกล่าวตื้นขึ้นมาได้ครบ 100% หรือทำให้ริ้วรอยที่เกิดขึ้นหายไปเลย CoQ10 เพียงแต่ทำให้ความลึกของริ้วรอยลดลงเท่านั้น เนื่องจากตามธรรมชาติแล้ว ผิวหนังย่อมมีการเสื่อมตามอายุขัยอยู่แล้ว แต่การใช้เครื่องสำอางร่วมด้วยเพียงทำให้การเสื่อมของผิวหนังชะลอลงเท่านั้นไม่ใช่ว่าจะไม่ทำให้เกิดการเสื่อมของผิวหนังเลยดังนั้นต้องมีการชั่งใจพิจารณาถึงข้อดี-ข้อเสีย เปรียบเทียบกับราคาของผลิตภัณฑ์เพื่อให้ได้รับประโยชน์คุ้มค่ากับเงินที่สูญเสียไป นอกจาก นี้ยังต้องพิจารณาความไวต่อการแพ้ด้วยกล่าวคือ ถึงแม้ว่า CoQ10จะเป็นสารที่มีอยู่ในร่างกายอยู่แล้ว และมีโอกาสแพ้ค่อนข้างน้อยก็ตามแต่กับบางบุคคลก็อาจมีโอกาสเกิดการแพ้ได้เช่นกันดังนั้นควรทดสอบอาการแพ้ก่อน โดยทาเครื่องสำอางหรือผลิตภัณฑ์ความงามไว้หลังติ่งหู หรือบริเวณข้อพับ ทิ้งไว้ประมาณ 24 ชั่วโมง ถ้าไม่มีอาการแพ้ก็แสดงว่าสามารถใช้ได้แต่กับบางบุคคลอาจไม่เกิดการแพ้ ตั้งแต่เริ่มแรกแต่อาจเกิดอาการแพ้หรือคันเรื้อรัง เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ไปได้ระยะหนึ่ง ทางที่ดี ก็คือถ้าพบว่าแพ้ก็ควรหยุดใช้เครื่องสำอางนั้นทันที
CoQ10 เป็นสารที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง มีการศึกษาวิจัยเพื่อนำมาใช้ประโยชน์มากมายทั้งทางด้านอาหารเสริมและเครื่องสำอาง ทำให้คาดว่าในอนาคตน่าจะมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับสารที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เองมาใช้ประโยชน์เพิ่มมากขึ้นไม่ว่าเป็นสาร CoQ10เองหรือสารอื่น ๆ ที่มีในร่างกายทั้งที่มีการค้นพบแล้วหรือยังไม่ได้ค้น พบ เพื่อเป็นการลดอาการแพ้และลดอาการข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นอย่างมากถ้าใช้สารเคมีสังเคราะห์ที่มีลักษณะแตกต่างจากสารที่ร่างกายมีอยู่ตามธรรมชาติ
เอกสารอ้างอิง
1. U. Hoppe. and G. Sauermann. Coenzyme Q10 - a cutaneous antioxidant and energizer. Kosmetische Medizin. 1999; 20(1).
2. U. Hoppe., R. Lunderstadt. and G. Sauermann. Quantitive analysis of the skin'ssurface by mean of digital signal processing. Journal of the Society of Cosmetic Chemists. 1985; 36: 105-123.
3. http://www.sph.uth.tmc.edu/utcam/summary/CoQ10.html
4. http://www.energywave.com/ CoQ10html
5. http://wwwcsi.union.it/coenzymeQ/article.html
ขอบคุณปิยพร ทองไสว วิจัยมาตรฐานสมุนไพร ให้ข้อมูล
วันพุธที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น