วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

FW: เทคนิค Windows ที่บางทีก็ลืม

เทคนิค Windows ที่บางทีก็ลืม
1. ในขณะที่คุณกำลังจะ Restart เครื่องใหม่ ก่อนที่จะกดปุ่ม OK ให้คุณกด Shift ค้างไว้ จะทำให้คุณ Restart ได้เร็วขึ้น
2. ในบาง Web Site หากคุณกด Ctrl ค้างไว้ และเลื่อน Scroll ที่ Mouse จะทำให้ตัวอักษรของ Web Site นั้นใหญ่ขึ้น
3. หากกดปุ่ม Refresh หรือ F5 แล้วยังเป็นข้อมูลเดิม ลองกด Ctrl + F5 รับรองจะได้ข้อมูลที่ใหม่ล่าส ุดแน่ๆ
4. คุณสามารถเปิดไฟล์ Tips.txt ขึ้นมาเพื่ออ่านเทคนิคต่างๆ ได้ ซึ่งไฟล์นี้จะอยู่ใน c:\windows ของคุณ
5. ในระหว่างที่คุณกำหลังใช้งาน IE อยู่นั้น สามารถกดปุ่ม F4 เพื่อเป็นการเปิดดู URL List ในช่อง Address ได้เลย
6. การกดปุ่ม Esc ระหว่างการใช้ IE จะทำให้ IE ของคุณนั้นหยุดโหลดได้ โดยที่ไม่ต้องกดปุ่ม Stop
7. ระหว่างการใช้ IE สามารถกดปุ่ม Alt + D หรือ Ctrl + Tab เพื่อเข้า Address bar อย่างเร็วได้
8. คุณสามารถเพิ่มความเร็วให้กับ Internet ได้โดยทำการถอดสายเครื่องโทรศัพท์ ที่มีการต่อพ่วงอยู่กับสายที่ใช้ต่อ Internet ออก
9. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า welcome กด Enter เพื่อเปิดหน้าต่างต้อนรับของ Windows ได้
10. ที่ Notepad หรือ ICQ หากคุณลืมเปลี่ยน Mode ภาษา ให้กดปุ่ม Ctrl + Back Space เพื่อแก้คำที่พิมพ์ผิดไปแล้ว
11. คุณสามารถ เปิด Folder Desktop อย่างรวดเร็ว โดย Start -> Run พิมพ์จุด (.) ลงไปแล้วกด Enter
12. ใน IE สามารถกด Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้า Page ลงได้ ส่วนเลื่อนขึ้นคือ Shift + Space Bar
13. ใน Windows คุณไม่สามารถ สร้าง Folder ที่ชื่อ "con" ได้
14. ใน IE ที่ช่อง Address ปุ่ม Ctrl+Enter สามารถช่วยคุณ ในการพิมพ์ URL ได้เร็วยิ่งขึ้น
15. การกด Ctrl ค้างเอาไว้ ตอนเวลา BOOT เครื่อง จะทำให้คุณไม่พลาด Startup Menu
16. คุณสามารถปิดนาฬิกาที่ Taskbar ได้ โดยคลิกขวาที่ Task bar > Properties > เอาเครื่องหมาย Show Click ออก
17. หากคุณกด F11 ใน Windows Explorer จะช่วยให้มีการทำงานที่สะดวกขึ้น
18. ใน ICQ การส่ง Message หากคุณกด Ctrl+Enter จะสะดวก กว่าการ Click Mouse ที่ปุ่ม send
19. คุณสามารถกด F2 เพื่อ ใช้ในการเปลี่ยนชื่อ Icon ต่างๆ ได้
20. การกด F5 ใน NotePad จะเป็นการแทรก เวลา และวันที่ปัจจุบัน
21. การกด Windows + E จะเป็นเปิด Windows Explorer ขึ้นมา
22. เปิด System Properties อย่างรวดเร็วคือการกด Window + Pause Break
23. การย่อยทุกๆ หน้าต่างที่เปิดใช้งาน ให้ยุบไปให้หมด คือการกด Window + D ถ้าจะขยายคืนมาอีก ให้กดซ้ำ
24. การเคาะวรรคในโปรแกรม Dreamweaver คือ Shift + Ctrl + Space Bar ส่วนการเว้นบรรทัดคือ Shift + Enter
25. การลบไฟล์แบบ ไม่เก็บไว้ใน Recycle Bin คือการกด Shift + Delete
26. การกด Shift ค้างไว้ เวลาใส่แผ่น CD-Rom จะเป็นการไม่ให้มันเปิด Autorun ของแผ่น CD-Rom นั้นขึ้นมา
27. การ Restart เครื่องอย่างเร็ว คือไปที่ Start -> Shut Down... -> Restart จากนั้น ก่อนที่จะ OK ให้กด Shift ค้างเอาไว้
28. ในระหว่างใช้ Browser คุณสามารถกดปุ่ม Space Bar เพื่อเลื่อนหน้าลง และ Shift + Space Bar เพื่อนเลื่อนหน้าขึ้นได้
29. กด Shift + คลิก จะเป็นการเปิดหน้าต่างขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้อง back กลับ
30. คุณสามารถ ไปที่ Start -> Run และพิมพ์ว่า hwinfo /ui กด Enter เพื่อดูรายงานต่างๆ ของ HardWare

FW: ปวด...ป๊วด...ปวด สารพัดปวดหัวที่คุณต้องรู้

ปวด...ป๊วด...ปวด สารพัดปวดหัวที่คุณต้องรู้

เชื่อว่าสาวออฟฟิศที่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพ์เป็นเวลานานๆ คงเคยเจอฤทธิ์เดชของอาการปวดหัวมาบ้างแล้ว บางรายคิดว่าอาการปวดหัวไม่อันตราย กินยาแป๊บเดียวเดี๋ยวก็หาย แต่คุณทราบหรือไม่ว่า อาการปวดหัวที่คุณเป็นอยู่อาจมีอาการของโรคอื่นซ่อนอยู่ด้วย

ปวดหัว...ที่ไม่ใช่แค่ปวดหัว
อาการปวดหัวที่เราพบได้ทั่วๆ ไปคือการปวดหัวจากความตึงเครียด การทำงานหนัก เพลีย โกรธ อาการคล้ายๆ ปวดที่ขมับ ท้ายทอย รู้สึกตึงๆ เหมือนมีอะไรรัดศีรษะ การรักษาอาจใช้ยาแก้ปวดหัวธรรมดา นอนพักผ่อน แต่ถ้าเป็นการอาการปวดหัวซึ่งมีอาการร่วมของโรคอื่นๆ รวมอยู่ด้วย เรามีวิธีสังเกตได้ต่อไปนี้
1. ปวดระยะสั้นๆ แต่รุนแรง อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดในสมอง หรือเลือดออกในสมอง โดยเฉพาะถ้ามีอาการคอตึงแข็งหรืออาเจียน อาจเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
2. ปวดสม่ำเสมอและปวดนานๆ มักเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดจากความตึงเครียด หรือปวดหัวไมเกรน

3. ปวดแปลบๆ เหมือนไฟช็อต บริเวณหน้า แก้ม โดยเฉพาะเวลาเคี้ยว อาจจะเป็นอาการของโรคปลายประสาทอักเสบ

4. ปวดหัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตามัวพร่ามากขึ้น หรือเห็นภาพซ้อน ร่างกายอ่อนแรง ชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า และน้ำหนักลด กินอาหารไม่ได้ อาจเป็นโรคมะเร็งในสมอง

5. ปวดหัวตุบๆ ข้างเดียวหรือสองข้าง ก่อนปวดมีอาการเห็นแสงแปลกๆ คลื่นไส้ เป็นอาการปวดไมเกรน

6. ปวดแล้วมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดหน้าผาก มีน้ำมูกไหล อาจจะเป็นการปวดจากไซนัส

7. ปวดฉับพลันที่ท้ายทอย และมีอาการเวียนหัว คลื่นไส้อาเจียน และอ่อนแรงทันที อาจเป็นอาการของโรคหลอดเลือดสมองแตก

8. ปวดหัวและปากเบี้ยว ตาปิดไม่สนิท แขนขาอ่อนแรง เดินเซ หรือชาตัวครึ่งซีก อาจเป็นโรคหลอดเลือดในสมองตีบ

9. ปวดมากที่ขมับ หรือปวดเมื่อยทั้งตัว ในคนอายุมากอาจเป็นอาการของหลอดเลือดสมองอักเสบ ดูแลอาการปวดหัวด้วยตัวเอง

ถ้าเป็นอาการปวดหัวที่ไม่รุนแรงหรือฉับพลัน เราสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยวิธีเหล่านี้
- ผ่อนคลายความตึงเครียดเหนื่อยล้า ด้วยการพยายามพักสายตา พักผ่อนร่างกายและจิตใจให้เพียงพอ
- เปลี่ยนอิริยาบถจากงานประจำที่เป็นอยู่ ไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อพักสมอง เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ หรือฟังธรรม
- เปลี่ยนองค์ประกอบในบ้านหรือโต๊ะทำงาน เช่น จัดห้อง จัดโต๊ะทำงาน ให้รู้สึกโล่ง สบาย ไม่อุดอู้
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการปวดหัว เพราะการออกกำลังการจะทำให้ระบบไหลเวียนของการร่างกายทำงานดีขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะ
- นวดประคบ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นนวดบริเวณขมับ ท้ายทอย และต้นคอ จะทำให้รู้สึกดีขึ้น และผ่อนคลายกล้ามเนื้อรอบศีรษะ
- ถ้าจำเป็นต้องใช้ยาควรใช้ยาพาราเซตามอล หรือแอสไพริน แล้วดื่มน้ำตามมากๆ แต่ไม่ควรกินบ่อยครั้ง หากมีอาการรุนแรงเกินกว่ายาจะบรรเทาได้ควรรีบไปพบแพทย์

วิธีแล้วลองปฏิบัติดูนะคะ อย่าปล่อยให้อาการปวดหัวสะสมจนลุกลามเป็นโรคเรื้อรังที่มาเบียดบังความสุขประจำวันของชีวิตคุณเลย

กินยาพาราฯ แค่ไหนไม่อันตราย
การกินยาพาราเซตามอลในปริมาณที่ถูกต้อง คือต้องกินในขนาด 10 มิลลิกรัม(มก.) ต่อน้ำหนัก ตัว 1 กิโลกรัม(กก.) ต่อครั้ง และกินห่างกันทุก 4-6 ชั่วโมง นั่นหมายความว่าหากคุณมีน้ำหนักตัว 30 กก. ก็ควรกินยาพารา = 10 x 30 = 300 มก. หรือหากมีน้ำหนักตัว 60 กก. ควรกินยาพารา = 10 x 60 = 600 มก. เป็นต้น
ยาพาราที่วางขายนั้นมีอยู่ 2 ขนาด คือ 325 มก. และ 500 มก. แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นแบบ 500 มก. มากกว่า ดังนั้นหากคุณมีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 50 กก. ก็ควรกินยาพาราขนาด 500 มก. จำนวน 1 เม็ด แต่หากว่าคุณน้ำหนักตัวมากกว่า 50 กก. ก็ควรกินยาพารา 2 เม็ด

แม้ว่ายาพาราจะไม่มีผลข้างเคียงใดๆ หากกินอย่างถูกต้องในระยะเวลาสั้นๆ แต่ถ้าหากกินนานติดต่อเกิน 5 วัน ก็อาจมีผลเสียต่อตับได้ค่ะ

FW: ข้อคิดดีๆ‏ ของปูเย็น
















วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2551

FW: เรื่องสนุกๆ ของคณิตศาสตร์

1) คีย์ ตัวเลข 3 ตัวแรกของเบอร์มือถือคุณในเครื่องคิดเลข > ( เฉพาะเบอร์โทร ไม่รวมรหัสนำ 01,06,09)

2) คูณ ด้วย 80

3) บวก 1

4) คูณ ด้วย 250

5) บวก ด้วย ตัวเลข 4 ตัวที่เหลือของเบอร์มือถือ

6) บวก ด้วย ตัวเลข 4 ตัวที่เหลือของเบอร์มือถืออีกครั้ง

7) ลบ 250 > 8) สุดท้าย หารด้วย 2

***** ใช่เบอร์มือถือของคุณรึเปล่าเอ่ย ?

FW: ทายนิสัยจากผู้ให้ของขวัญ

เพื่อนๆ รู้ไหมว่า 'ของขวัญ' นอกจากเป็นสิ่งแทนใจบอกความนัยของผู้มอบให้แล้ว ยังสามารถบอกนิสัยของผู้มอบให้ได้อีกด้วย ว่าแล้วเราไปอ่านคำทำนาย ทายนิสัยของผู้ส่งของขวัญพร้อมๆ กันเลย

ตุ๊กตา - สัญลักษณ์แห่งความปรารถนาดี และมิตรภาพ ผู้ที่ชอบให้ตุ๊กตาเป็นของขวัญของฝากแก่ผู้อื่นอยู่เสมอ แสดงว่าเป็นคนที่มีความอ่อนเยาว์อยู่ในจิตใจ ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี มักมีอารมณ์เบิกบาน แจ่มใส แต่ก็ดื้อเงียบ ชอบเอาแต่ใจตนเองพอสมควร

หัวใจ – สัญลักษณ์ของความรัก ผู้ที่ชอบให้ของขวัญผู้อื่นเป็นรูปหัวใจ ไม่ว่าจะเป็นจี้ ต่างหู หมอน กล่องดนตรี หรือข้าวของของใดๆ ก็ตามที่มีรูปทรงเป็นรูปหัวใจ แสดงว่าเป็นคนที่โรแมนติกไม่น้อย ให้ความสำคัญกับเรื่องความรักความผูกพัน มักแคร์คนอื่นและช่างคิดช่างฝัน

น้ำหอม – สัญลักษณ์ของเสน่ห์และความปรารถนาดี ผู้ที่ชอบซื้อน้ำหอมเป็นของขวัญของฝากแก่คนรอบข้าง เป็นคนที่มีรสนิยมดี มีเสน่ห์ มักชอบสร้างความประทับใจให้ผู้อื่น เข้ากับผู้คนง่าย รักสวยรักงาม ค่อนข้างสำอางมีความหยิ่งทะนงในตนเอง ไม่ใช่คนเรียบง่ายนัก และมักเป็นห่วงภาพลักษณ์ของตนเองเสมอ

สุนัข – สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความซื่อสัตย์ภักดี คนที่ชอบให้สุนัขเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยนและค่อนข้างจะอ่อนไหวไม่น้อย ส่วนคนที่อยากได้สุนัขเป็นของขวัญก็เช่นกัน เรียกได้ว่า ยังมีความเป็นเด็กๆ อยู่ในตัวเอง ชอบที่จะเล่นสนุก ชอบให้ใครๆ มาคอยเอาใจ แต่ก็ยังเป็นคนที่แคร์คนอื่นและไม่เห็นแก่ตัว

แมว – สัญลักษณ์แห่งมิตรภาพและความอิสระ คนที่ชอบให้แมวเป็นของขวัญ หรือคนที่อยากได้แมวเป็นของขวัญ เป็นคนที่ตามใจตัวเองสูง ไม่ค่อยมีความพยายามที่จะปรับตัว หรือปรับใจแม้ในสถานการณ์ที่สำคัญๆ เป็นคนที่รักอิสระ ไม่ค่อยเปิดเผย ประมาณว่า ชอบเก็บความรู้สึก แต่ก็มีน้ำใจ ติดเพื่อน และค่อนข้างเอื่อยๆ เฉื่อยๆ ไม่ชอบความเร่งร้อน

ปลา – สัญลักษณ์ของความเยือกเย็น ความมีชีวิต และความอุดมสมบูรณ์คนที่ให้ปลาเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่รักบ้าน รักครอบครัว อารมณ์ดี ชอบเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนฝูง แต่ก็สามารถที่จะอยู่เงียบๆ ตามลำพังได้ดี เพราะเป็นคนช่างคิดช่างฝัน แม้บ้างครั้งจะหัวดื้อไปสักนิด เอาแต่ใจตัวเองสักหน่อย แต่ก็รักเพื่อน และมีน้ำใจไมตรีเสมอ

ช็อกโกแลต - สัญลักษณ์แห่งความรัก และมิตรภาพ ผู้ที่ชอบมอบช็อกโกแลตเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น แสดงว่าเป็นคนอารมณ์ดี ค่อนข้างมองโลกในแง่ดี ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมพิษภัยกับใคร แม้ว่าจะดูเป็นคนเรียบๆ ง่ายๆ ชอบสนุกสนานแต่ก็มีความรับผิดชอบสูง มีน้ำใจ เจ้าชู้แต่ไม่หลายใจ

เครื่องประดับ – สัญลักษณ์แห่งความหรู และความสำเร็จ ผู้ที่ชอบมอบเครื่องประดับเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นต่างหู แหวน กำไล สร้อยข้อมือ สร้อยข้อเท้า หรือจี้ แสดงว่าเป็นคนที่ช่างสังเกต ช่างเลือกช่างคิด มักให้ความสนใจในการวางตัว และการสร้างภาพพจน์เป็นคนที่มีรสนิยมดี รักสวยรักงาม ชอบความโดดเด่น

เทียนหอม – สัญลักษณ์ของความหวังและแรงบันดาลใจ เทียนหอมเป็นสัญลักษณ์ของความผ่อนคลาย และความรัก ผู้ที่ชอบให้เทียนหอมเป็นของขวัญแก่ผู้อื่นเป็นคนที่โรแมนติกไม่เบา ชอบเที่ยว ชอบดูหนัง ฟังเพลง ช่างคิดช่างฝัน ดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่จริงๆ แล้วก็ดื้อดึง และเอาแต่ใจตัวเองสุดฤทธิ์เหมือนกัน

คุกกี้ - สัญลักษณ์ของความสุข และความปรารถนาดี ผู้ที่ชอบให้คุกกี้เป็นของขวัญแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะทำเองหรือซื้อมาแจกก็ตาม เป็นคนที่ชอบพบปะพูดคุยกับผู้คน ค่อนข้างอารมณ์ดีเข้ากับคนง่าย ไม่ชอบความขัดแย้ง ไม่ก้าวร้าวใคร แต่ก็ขี้น้อยใจเก่ง และไม่ค่อยละเอียดรอบคอบนัก

พระเครื่อง – สัญลักษณ์ของความร่มเย็นเป็นสุข ผู้ที่ชอบให้ของขวัญผู้อื่นเป็นพระเครื่องห้อยกับสร้อยคอ หรือพระพุทธรูปบูชา เป็นคนที่มีความรักบ้าน รักครอบครัว รักเกียรติ รักศักดิ์ศรีสูง ชอบให้ผู้คนยกย่องนับถือ เป็นคนมีความเป็นผู้นำ สุขุมรอบคอบจิตใจดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ไม่ค่อยชอบความอึกทึกวุ่นวายใดๆ รักธรรมชาติและรักสงบ

อัลบั้มภาพ – สัญลักษณ์แห่งความทรงจำ ผู้ที่ชอบให้อัลบั้มรูปภาพเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่ใส่ใจความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้อื่นเสมอ มีความละเอียดอ่อนพอสมควร ไม่ใช่คนเจ้าระเบียบนักแต่ก็ไม่สะเพร่า เป็นคนที่รู้จักแคร์คนอื่น มีความคิดสร้างสรรค์ มักคำนึงถึงสิ่งดีเป็นประโยชน์มากกว่าเรื่องไร้สาระ

ช่อดอกไม้ - สัญลักษณ์ของความรัก และความปรารถนาดี ผู้ที่ชอบให้ช่อดอกไม้เป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง โรแมนติกไม่น้อย และเจ้าชู้ไม่เบาเหมือนกัน นอกจากจะเป็นคนละเอียดอ่อนและอารมณ์ละเมียดละเมียดละไมไม่ธรรมดาแล้ว ยังซ่อนความดื้อเงียบและหยิ่งทะนงไว้ในตนอีกด้วย

เค้ก – สัญลักษณ์ของความสุข และความยินดี ผู้ที่ชอบมอบเค้กเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่มีจิตใจอ่อนโยน และมีน้ำใจประมาณว่าหน้าใหญ่หน้าโต ไม่ใช่คนละเอียดอ่อนนักไม่ชอบคิดมาก ค่อนข้างจะชอบให้ใครๆ ชื่นชมตนเอง และเป็นคนที่นับถือตัวเองม้าก…มาก

เสื้อผ้า – สัญลักษณ์ของภาพลักษณ์ คนที่ชอบมอบของขวัญให้แก่ผู้อื่นเป็นเสื้อผ้า แสดงว่าเป็นคนที่ค่อนข้างนับถือตนเอง ชอบคิดชอบวางแผน ช่างสังเกต เป็นคนมีน้ำใจไมตรี ดูเหมือนคนเรียบๆ ง่ายๆ แต่มักห่วงในเรื่องเกียรติศักดิ์เกินเหตุ

ถ้วยกาแฟ, ถ้วยชา – สัญลักษณ์ของมิตรภาพ คนที่ชอบมอบถ้วยกาแฟ ถ้วยชา เป็นของขวัญแก่ผู้อื่น แสดงว่าเป็นคนที่เข้ากับคนง่าย ชอบความอบอุ่นผูกพัน แม้ไม่ใช่คนละเอียดลึกซึ้งนักแต่ก็ชอบคิดชอบฝัน รักอิสระ รักเพื่อน ชอบความเรียบง่ายมากกว่าพิธีรีตอง

อุปกรณ์กีฬา - สัญลักษณ์ของพลังชีวิต และความมั่นคงทางอารมณ์ ผู้ที่ชอบมอบอุปกรณ์กีฬาเป็นของขวัญให้ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นลูกบาสเก็ตบอล รองเท้ากีฬา ไม้เทนนิส หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับเรื่องกีฬา แสดงว่าเป็นคนที่ค่อนข้างรักตัวเอง ไม่หวั่นไหวง่าย มีเป้าหมายชีวิต จริงใจ แต่ไม่ค่อยเปิดเผยความในใจให้ใครๆ รู้

หมวก - สัญลักษณ์ของความโดดเด่น และความระแวดระวัง คนที่ชอบให้หมวกเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่อาจจะดูเรียบๆ ง่ายๆ แสนมั่นใจในตนเอง แต่ที่แท้เป็นคนขี้อายไม่ค่อยเชื่อมั่นในตนเองนัก ค่อนข้างรักอิสระ ดื้อเงียบ และไม่ชอบทำอะไรเหมือนใคร

ปากกา – สัญลักษณ์ของความสำเร็จ คนที่ชอบมอบปากกาเป็นของขวัญแก่ผู้อื่น เป็นคนที่ค่อนข้างจะรักษาภาพลักษณ์ของตนเองสุดฤทธิ์ เป็นคนช่างคิดช่างสังเกตและช่างเลือก ยากที่จะมองข้ามในรายละเอียดต่างๆ เป็นคนทะเยอทะยาน หยิ่งทะนง หลงตนเองเล็กน้อย แต่ซื่อตรงมาก

กรอบรูป – สัญลักษณ์ของความคิดและความทรงจำ คนที่ชอบมอบของขวัญแก่ผู้อื่นเป็นกรอบรูป แสดงว่าเป็นคนที่ชอบจดจำเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านไป ค่อนข้างจะมีไอเดียแปลกใหม่ ชอบงานศิลปะ ชอบตกแต่ง แม้จะดื้อดึงบ้าง แต่ก็รู้จักแคร์คนอื่น เป็นคนอ่อนไหวแต่ไม่อ่อนแอ

วันศุกร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2551

FW: เกี่ยวกับ..ลิปสติก‏

ข้อมูลข้างล่างนี้สำหรับผู้ที่ใช้ ลิปสติค และ แหวนทองคำ
ยากที่จะคิดว่าสองสิ่งนี้เกี่ยวข้องกันได้อย่างไร หากลิปสติค ไม่มีความปลอดภัยอีกต่อไป อะไรจะเกิดขึ้นตามมา ? ตราสินค้าไม่ได้หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อเร็วๆนี้ ตราสินค้าที่มีชื่อว่า 'Red Earth! '! ได้ลดราคาสินค้าจาก $67 ลงมาเหลือเพียง $9.90 เนื่องจากพบว่ามีตะกั่วเป็นส่วนผสม ซึ่งตะกั่วเป็นสารที่เป็นต้นเหตุของการเกิดมะเร็ง

ตราสินค้าที่คาดว่าจะมีตะกั่วเป็นส่วนผสม คือ :
1. CHRISTIANDIOR
2. LANCOME
3. CLINIQUE
4. Y.S.L
5. ESTEELAUDER
6. SHISEIDO
7. RED EARTH (Lip Gloss)
8. CHANEL (Lip Conditioner)
9. MARKET AMERICA - MOTNES LIPSTICK สินค้าที่มีตะกั่วเป็นส่วนผสมยิ่งมาก ก ็ยิ่งมีโอกาสที่จะก่อให้เกิด มะเร็งได้มากขึ้น หลังจากการทดสอบลิปสติคหลายแท่ง พบว่า ลิปสติคของ Y.S.L. มีส่วนผสมเป็นตะกั่วมากที่สุด ระวังการใช้ลิปสติคที่ติดได้ทนนาน เพราะลิปสติคที่ติดได้ทนนานของคุณมีส่วนผสมของตะกั่วอยู่นั่นเอง

คุณสามารถทำการทดสอบได้ด้วยตัวเองโดย :-
1. ทาลิปสติคลงบนมือของคุณ
2. ใช้แหวนทองคำถูลงบนลิปสติคนั้น
3. ถ้าลิปสติคเปลี่ยนเป็นสีดำ
4. คุณก็รู้ได้ว่าลิปสติคนั้นมีส่วนผสมของตะกั่ว

อ่าวแล้วอย่าลืมเล่าสู่กันฟังด้วยนะจ๊ะเพื่อนผู้หญิง , ภรรยา และ สมาชิกครอบครัวที่เป็นสตรี

pas passanan (p_passanan@yahoo.com)

FW: World 10 Most Amazing Temples‏

10 Most Amazing Temples in the World
Tiger's Nest Monastery, perched precariously on the edge of a 3,000-feet-high cliff in Paro Valley , is one of the holiest places in Bhutan

Wat Rong Khun in Chiang Rai, Thailand is unlike any Buddhist temples in the world.


Prambanan is a Hindu temple in Central Java , Indonesia . The temple was built in 850 CE, and is composed of 8 main shrines and 250 surrounding smaller ones

No one knows exactly when the Shwedagon Paya [wiki] (or Pagoda) in Myanmar was built - legend has it that it is 2,500 years old though archaeologists estimate that it was built between the 6th and 10th century.


Temple of Heaven is a Taois. temple in Beijing , the capital of China . The temple was constructed in 14th century by Emperor Yongle of the Ming Dynasty



Chion-in Temple (wiki) was built in 1234 CE to honor the founder of Jodo ( Pure Land ) Buddhism, a priest named Honen, who fasted to death in the very spot.



In the 19th century, Dutch occupiers of Indonesia found a massive ancient ruin deep in the jungles of Java. What they discovered was the complex of Borobudur, a gigantic structure built with nearly 2 million cubic feet (55,000 m?) of stones. The temple has nearly 2,700 relief panels and 504 Buddha statues.


The Harmandir Sahib (meaning The Abode of God) or simply the Golden Temple [wiki] in Punjab , India is the most sacred shrine of Sikhism.


The Temple of Srirangam (Sri Ranganathaswamy Temple [wiki]), in the Indian city of Tiruchirapalli (or Trichy), is the largest functioning Hindu temple in the world (Ankor Wat is the largest of all temple, but it is currently non-functioning as a temple - see below).



Last but definitely not least is the largest temple in history and the inspiration to countless novels and action movies of Hollywood : Ankor Wat.



จาก:pas passanan (p_passanan@yahoo.com